แหล่งปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
เพชรบูรณ์ นครราชสีมา เลย ลพบุรี นครสวรรค์ ปราจีนบุรี ข้าวโพดเป็นพืชไร่เศรษฐกิจที่สำคัญของไทยชนิดหนึ่งซึ่งทำรายได้ให้ประเทศ
ปีละกว่าหมื่นล้านบาท ปลูกมากในภาคเหนือ คิดเป็นพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ที่ปลูกข้าวโพดทั้งหมดของประเทศ
รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ซึ่งในแต่ละปีจะมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด ทั้งประเทศ ประมาณ ๘ - ๙ ล้านไร่ โดยได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ
๔๗๐ กิโลกรัม/ไร่ผลผลิตของข้าวโพดที่ผลิตได้ ยังไม่พอเพียงกับความต้องการใช้ภายในประเทศ เนื่องมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ของอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ จึงต้องมีการนำข้าวโพดจากต่างประเทศเข้ามาอย่างน้อย
ปีละ ๕๒,๐๐๐ ตัน ดังนั้น การเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นจึงหลีกเลี่ยง ไม่ได้ ปัจจัยหลายอย่างในการเพิ่มผลผลิต
เช่น พันธุ์ สภาพดินฟ้าอากาศที่ เหมาะสมปริมาณน้ำฝน การดูแลรักษาที่ถูกวิธี มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม
ข้าวโพดปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด แต่จะขึ้นได้ดีในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี
ดินมีความเป็นกรดหรือด่าง (pH) ระหว่าง ๕.๕ - ๘ ต้องการปริมาณน้ำฝนน้อยตลอดฤดูปลูกเพียง
๓๕๐ - ๔๐๐ มิลลิเมตร (นาปรังใช้น้ำถึง ๘๐๐ มิลลิเมตร) และ อุณหภูมิที่ปลูกข้าวโพดได้มีช่วงกว้างระหว่าง
๑๐ - ๔๐ องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงปลูกข้าวโพดได้ตลอดปี และเกือบทุกภาค ของประเทศไทย
ความต้องการน้ำ
ในระยะเวลาของการเจริญเติบโต ข้าวโพดต้องการน้ำเพียงเล็กน้อยแต่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามอายุ
และต้องการน้ำสูงสุดในช่วงออกดอก และ ช่วงระยะของการสร้างเมล็ดแล้วค่อย ๆ ลดลงอีก
ดังนั้นถ้าขาดน้ำในช่วงออกดอก จะทำให้ผลผลิตลงมาก จึงต้องคาดคะเนวันปลูก
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าว โพดกระทบแล้งในช่วงออกดอก
พันธุ์
พันธุ์ข้าวโพดที่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลทั้งของกรมวิชาการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ทั้งพันธุ์ผสมเปิดและลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูง และแนะนำส่งเสริมแก่การเกษตรกร มีหลายพันธุ์
ดังนี้
๑. นครสวรรค์ ๑ พัฒนาโดยศูนยวิจัยพืชไร่นครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร เป็นพันธุ์ผสมเปิด
รับรองพันธุ์โดยกรมวิชาการเกษตร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ มีลักษณะเด่น คือ
อายุเก็บเกี่ยว ๑๐๐ - ๑๑๐ วัน ผลผลิต ๕๐๐ - ๘๐๐ กิโลกรัม/ไร่ ต้านทานโรคราน้ำค้างได้ดี
เมล็ดกึ่งหัวแข็ง สีเหลืองส้ม
๒. สุวรรณ ๕ เป็นข้าวโพดพันธุ์ผสมเปิดที่ให้ผลผลิตสูงมาก และ เหมาะที่จะปลูกเพื่อตัดต้นสดไปเลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย
เพราะให้ผลผลิตต้นสดสูงและมีคุณภาพดี มีลักษณะเด่น คือ
ลำต้นสูง ๒๑๐ - ๒๔๐ เซนติเมตร อายุเก็บเกี่ยว ๑๑๐ - ๑๒๐ วัน ผลผลิต ๙๑๐ - ๙๕๐
กิโลกรัม/ไร่ ต้านทานโรคราน้ำค้าง และโรคทางใบได้ดี เมล็ดสีส้มเหลือง
๓. สุวรรณ ๓๖๐๑ เป็นพันธุ์ลูกผสมเดี่ยว ให้ผลผลิตสูงมาก มีลักษณะเด่น คือ ลำต้นสูง
๒๑๐ - ๒๓๐ เซนติเมตร อายุเก็บเกี่ยว ๑๑๐ - ๑๒๐ วัน ต้านทานโรคราน้ำค้างได้ดีมาก
และต้านทานการหักล้มดี ผลผลิตสูงกว่า ๘๕๐ - ๑,๐๐๐ กิโลกรัม/ไร่
ฤดูปลูก
ต้นฤดูฝน ระหว่าง เมษายน - พฤษภาคม
ปลายฤดูฝน ระหว่าง กรกฎาคม - สิงหาคม
ในเขตชลประทาน
สามารถปลูกข้าวโพดได้ตลอดปี โดยทั่วไปการปลูกต้นฤดูฝน มักจะได้ผลดีกว่าปลูกปลายฤดูฝน
แต่มีข้อเสียคือ ในระยะเก็บเกี่ยวจะมีฝนชุก ทำให้ข้าวโพดชื้น จะเกิดปัญหาสารอะฟลาทอกซิน
เพราะตากข้าวโพดไม่แห้งแต่ปลูกปลายฤดูฝน จะมีปัญหาเตรียมดินไม่สะดวก เพราะฝนชุกและโรคต้นกล้าเน่าการเตรียมดินควรเตรียมดินใกล้
ๆ ก่อนจะปลูก หลังฝนตกแล้ว ควรไถดิน ๑ - ๒ ครั้ง ไถดะให้ลึก ๒๐ - ๓๐ เซนติเมตร
ตากดินไว้ ๑๐ - ๑๕ วัน เพื่อทำลายวัชพืชและศัตรูพืชในดินบางชนิด แล้วไถแปรหรือพรวนอีก
๑ - ๒ ครั้ง เพื่อให้ดินร่วนเหมาะแก่การเจริญของต้นข้าวโพด
การปลูกแบบไม่ไถพรวน
การปลูกแบบไม่ไถพรวนหรือพรวนเฉพาะบริเวณแถวที่จะปลูกเท่านั้นก็ได้
การปลูกแบบนี้จะมีผลดีต่อเมื่อมีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชโดยมีสารเคมีหลัก คือ
กรัมมอกโซน หรือ ควบคู่กับ อาทราซีน อะลาคลอร์ การปลูกแบบนี้จะมีเศษซากพืชคลุมดิน
ซึ่งจะช่วยในการซับน้ำและ เก็บรักษาความชื้นในดิน รวมทั้งลดความเสียหายจากการพาราควอทชะล้างพังทลาย
ของหน้าดินได้ดี โดยเฉพาะในที่ที่ลาดเทสูง
การปลูกข้าวโพดในพื้นที่นา
การปลูกข้าวโพดในพื้นที่นาในฤดูแล้ง
จะแบ่งช่วงการปลูกเป็น ๒ ช่วง ดังนี้
๑. การปลูกช่วง พฤศจิกายน - ธันวาคม เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ของการปลูกข้าวโพด
เนื่องจากช่วงอุณหภูมิโดยทั่วไป จะอยู่ระหว่าง ๒๐ - ๒๕ C ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม
รวมไปถึงเมื่อเช้าสู่การเก็บเกี่ยวเป็นระยะที่อากาศร้อนและแห้งแล้ง จึงสะดวกในการเก็บเกี่ยว
และสามารถตากห้งได้ดี (ยกเว้นบางปีที่อุณหภูมิต่ำมาก ๆ ทำให้พืช ชะงักการเจริญเติบโต)
๒. การปลูกช่วง มกราคม - กุมภาพันธ์ สภาพอากาศค่อนข้างเย็นแล้ว หลังจากนั้นอากาศจะร้อนขึ้น
ทำให้ต้นข้าวโพดมีอาการใบเหี่ยวแม้ความชื้นในดินจะมีเพียงพอดินนาส่วนมาก
เป็นดินเหนียวถึงเหนียวจัด เมื่ออากาศแห้งแล้งมักจะเกิดการแตกระแหงของผิวหน้าดิน
ทำให้กระทบกระเทือนต่อราก นอกจากนี้การที่อุณหภูมิสูงมาจะเป็นอันตรายต่อการผสมเกสร
และการสร้างเมล็ดด้วย
หมายเหตุ การปลูกในเดือนมีนาคม
ไม่เหมาะสมที่จะปลูกข้าวโพดเพราะอากาศจะร้อน ต้นข้าวโพดจะเจริญช้า
และต้องให้น้ำบ่อยกว่าช่วงอื่นจึงไม่แนะนำให้ปลูกในช่วงเดือนมีนาคม
การเตรียมดินปลูกข้าวโพดในพื้นที่นาควรไถโดยใช้ผานเจ็ด ไถดินในขณะที่ดินยังมีความชื้นปานกลางหลังจากนั้นจะต้องยกร่องลูกฟูก
ให้สันลูกฟูกห่างกันประมาณ ๗๕ เซนติเมตร เพื่อที่จะให้ปลูกข้าวโพดบนบนสันร่องนี้
หรือจะยกร่องหว้าง ๑๕๐ เซนติเมตร แล้วปลูกข้าวโพดบนร่อง ๒ แถวก็ได้ การที่ต้องยกร่องในการปลูกข้าวโพด
ก็เพื่อประโยชน์ในการให้น้ำ ้ำตามร่องลูกฟูกนี้ การยกร่องจะช่วย ไม่ให้รากข้าวดพดแช่น้ำนานเกินไป
เพราะข้าวโพดไม่ชอบน้ำขัง (หากพื้นที่นา ไม่สามารถยกร่อง ได้ ไม่ควรปลูกข้าวโพด) การปลูก
ระยะปลูก
การดูแลรักษา การใส่ปุ๋ย การป้องกันโรคแมลง และการเก็บเกี่ยว ทำเช่นเดียวกับการปลูกในสภาพไร่
ยกเว้นการกำจัดวัชพืช ควรใช้วิธีกลเท่านั้น เพราะสารเคมี ในการควบคุมวัชพืช
จะเป็นอันตรายต่อข้าวที่จะปลูกตามในภายหลังได้
การปลูกและระยะปลูก
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ใช้ระยะ ๗๕ x ๗๕ เซนติเมตร หยอดเป็นหลุมหลุมละ ๔ เมล็ด กลบดินหนา ประมาณ ๕ เซนติเมตร
ให้แน่นพอประมาณเมื่อข้าวโพดอายุประมาณ ๑๕ วัน ควรถอนต้นที่ไม่แข็งแรงทิ้ง เหลือไว้
หลุมละ ๓ ต้น หรือ ใช้ระยะ ๗๕ x ๕๐ เซนติเมตร หยอดหลุมละ ๓ เมล็ด ถอนให้เหลือหลุมละ
๒ ต้น ถ้าใช้เครื่องจักรปลูก ควรใช้ระยะ ๗๕ x ๕๐ เซนติเมตร โดยให้มีจำนวนต้นข้าวโพดประมาณ
๘,๕๐๐ ต้น/ไร่ ซึ่งใช้เมล็ดพันธุ์ ๓ - ๔ กิโลกรัม/ไร่ ข้าวโพดหวานหรือข้าวโพดเทียน
ใช้ระยะปลูกเดียกัน แต่ปลูกให้มีจำนวนต้น/ไร่ มากกว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อีก ๒๕
- ๕๐ %
การใส่ปุ๋ย
ผลจากการวิเคราะห์พบว่า
ผลผลิตข้าวโพดทุก ๆ ๑๐๐ ืกิโลกรัมจะสูญเสียธาตุอาหารหลักไปกับเมล็ด คือ ไนโตรเจน
๑.๕๙ กิโลกรัม ฟอสฟอรัส ๐.๓๘ กิโลกรัม โพแทสเซียม ๐.๕๑ กิโลกรัม ส่วนใดตอซังจะสูญเสีย
ไนโตรเจน ๐.๗๗ กิโลกรัม ฟอสฟอรัส ๐.๑๑ กิโลกรัม โพแทสเซียม ๑.๖๒ กิโลกรัม ดังนั้นจึงไม่ควรเผาต้นหรือนำตอซังไปทิ้ง
ควรไถกลบลงดินเป็นปุ๋ย
พืชสด การให้ปุ๋ยข้าวโพด พิจารณาจากดินที่ปลูก ดังนี้
ดินเหนียวสีแดง
ใส่ปุ๋ยยูเรีย
อัตรา ๑๓ กิโลกรัม/ไร่ (หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา ๕๐ กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมี
๑๖ - ๒๐ - ๐ อัตรา ๒๕ กิโลกรัม/ไร่ ควรใส่ปุ๋ย ๑๖-๒๐-๐ ก่อนปลูกเล็กน้อย หรือพร้อมปลูก
และใส่ปุ๋ยยูเรียเมื่อข้าวโพดอายุ ๑ เดือน
ดินเหนียวสีดำ
ใส่ปุ๋ยยูเรีย
๒๒ กิโลกรัม/ไร่ (หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา ๕๐ กิโลกรัม/ไร่) ควรใส่เมื่อข้าวโพดมีอายุได้
๑ เดือน
ดินปนทราย
ใส่ปุ๋ยเคมี
สูตร ๑๖-๑๖-๘ อัตรา ๕๐ - ๗๕ กิโลกรัม/ไร่ ใส่ปุ๋ยครั้งเดียวเมื่อข้าวโพดอายุ
๒๐ - ๓๕ วัน หรือมีความสูงเท่าเข่า และดินมีความชื้นเพียงพอ พร้อมกับการกำจัด
วัชพืชครั้งแรก การใส่ปุ๋ยที่ถูกต้องและประหยัดมากที่สุดนั้น คือใส่ปุ๋ยเฉพาะเท่าที่จำเป็น
โดยนำดินไปวิเคราะห์หาว่ามีธาตุอาหารอยู่มากหรือน้อยเพียงใด แล้วใส่ธาตุอาหาร
เฉพาะที่ขาดแคลนเท่านั้น
การกำจัดวัชพืช
ช่วงวิกฤตที่ข้าวโพดอ่อนแอต่อวัชพืชที่สุดคือ ระยะ ๑๓ - ๒๕ วัน หลังงอก ระยะนี้ถ้ามีวัชพืชรบกวนจะทำให้ผลผลิต
ข้าวโพดเสียหายสูงสุด ดังนั้นการปลูกข้าวโพดให้ได้ผลผลิตสูง จึงต้องให้แปลงปลอดวัชพืช
ตลอดช่วง ๑ เดือนแรกตั้งแต่ปลูก โดยเลือกวิธีการกำจัดวัชพืชที่เหมาะสมกับสภาพการณ์
ดังนี้
๑.การไถและพรวนดิน ก่อนปลูกข้าวโพด โดยไถและพรวนดินหลังวัชพืชงอก จะช่วยทำลายกล้าวัชพืชให้ตายได้
ส่วนกล้าและเหง้าวัชพืชที่ตายยาก ควรตากดินนาน ๑๐ - ๑๕ วัน เพื่อให้วัชพืชพืชตาย
ก่อนปลูกข้าวโพด
๒.การทำรุ่น เป็นการพรวนดิน ดายหญ้า หลังข้าวโพดงอกแล้วแต่ก่อนจะถึง ระยะวิกฤตโดยใช้เครื่องมือกลต่าง
ๆ เช่น จอบ ไถ รถไถและรถแทรกเตอร์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การใช้ไถพูนโคนมักมีวัชพืช
ในแถวหลงเหลืออยู่จึงต้องใช้ขอบดายตามอีกครั้ง
๓.การใช้สารเคมี อาจใช้ทันทีหลังปลูกข้าวโพดหรือพ่นกำจัดวัชพืชฟลังข้าวโพดและวัชพืชงอกแล้ว
การใช้สารเคมีเป็นวิธีที่สะดวกและประหยัด แต่ต้องระมัดระวัง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อคน
พืชอื่น ๆ และสิ่งแวดล้อม ควรฉีดพ่นขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่ สารเคมีที่แนะนำมีดังนี้
อาทราซีน (ชนิดผง ๘๐%) ใช้ก่อข้าวโพดงอก อัตรา ๕๐๐ กรัม/ไร่ ถ้าเป็นดินเหนียวให้ใช้เพิ่มขึ้นอีก
ใช้ควบคุมวัชพืชใบกว้างและแคบได้ดีเป็นพิษต่อผักและพืชตระกูลถั่ว ดังนั้น ถ้าจะปลูกถั่วตามหลังข้าวโพด
ไม่ควรใช้อาทราซีน
อะลาคลอร์ ใช้ฉีดพ่นวัชพืชก่อนข้าวโพดงอก ใช้อัตรา ๕๐๐ - ๑,๐๐๐ ซีซี/ไร่ กำจัดวัชพืชใบแคบได้ดี
เป็นพิษต่อข้าวฟ่าง ดังนั้นถ้าจะปลูกข้าวฟ่างตามหลังข้าวโพด ไม่ควรใช้อะลาคลอร์
หมายเหตุ การใช้สารกำจัดวัชพืช จะได้ผลดีถ้าปฏิบัติถูกต้อง แต่มีข้อควรระวัง
คือ ต้องผสมน้ำและฉีดพ่นขณะที่ดินยังชื้นอยู่ และไม่แนะนำให้ปลูกข้าวฟ่างตามหลังข้าวโพด
เพราะทั้ง ๒ พืชมีระบบรากคล้ายกันและใช้ธาตุอาหารคล้ายกัน ดินจะเสื่อมเร็ว ควรปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่น
โรค-แมลงศัตรูข้าวโพด
๑.โรคราน้ำค้าง เชื้อรานี้จะเข้าทำลายตั้งแต่ระยะต้นกล้าจนถึงอายุประมาณ ๒ เดือน
ใบจะเป็นทาง ซีดขาวหรือเขียวอ่อนจากฐานใบถึงปลายใบ ถ้าเป็นมากจะทำให้ต้นแห้งตาย
เชื้อนี้ปลิวไปในอากาศหรืออาจติดไปกับเมล็ดได้
การป้องกันกำจัด
๑.ปลูกพันธ์ต้านทานในแหล่งที่โรคระบาด
๒.คลุกเมล็ดด้วยสารเคมี เมตาแล็กซีล เช่น เอพรอน ๓๕ SD อัตรา ๗ กรัม/เมล็ดพันธุ์
๑ กิโลกรัม
๓.เมื่อพบเห้นต้นข้าวโพดแสดงอาการ รีบถอนแล้วเผาทำลาย
๒.โรคใบไหม้ แผลเล็ก
ลักษณะอาการ ต้นข้าวโพดจะเกิดแผลบนใบขนานไปตามเส้นใบ ขอบแผลสีน้ำตาล ตรงกลางแผลกว้าง
๖ - ๑๒ มิลลิเมตร ยาว ๖ - ๒๗ มิลลิเมตร ถ้าเกิดกับต้นกล้าจะแห้งตายทั้งต้น หากเป็นกับต้นโต
จะ เป็นที่ใบล่าวก่อน แล้วลามไปทั้งต้น
การป้องกันกำจัด
๑.ใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่ไม่เป็นโรค
๒.ถอนต้นที่เป็นโรคแล้วเผา
๓.เมื่อเริ่มเป็นโรคใช้สารเคมี ไซเนบ มาเนบ อัตรา ๒-๓ ช้อนแกง/น้ำ ๒๐ ลิตร ฉีดพ่น
๗-๑๐ วัน/ครั้ง จำนวน ๔ ครั้ง
๔.เผาทำลายพืชอาศัยของโรค เช่น หญ้าเดือย ซากข้าวโพดซากข้าวฟ่าง ฯลฯ
๓.โรคต้นเน่า
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อดิโพลเดีย จะเกิดบริเวณโคนต้นโดยเกิดเป็นแผลสีซีด
ตามความยาวของลำต้น ต่อมาแผลจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ถ้าเป็นรุนแรง ลำต้นจะแตก
หรือฉีกออกทำให้ต้นหักล้มง่าย
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อฟิวซาเรียม เกิดบริเวณโคนต้นแผลสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม
บริเวณแผลจะแห้ง ลำต้นแตกหรือฉีกขาดบางครั้งพบเส้นใยของเชื้อราสีขาว ปกคลุมบริเวณแผลทำให้ต้นหักล้มง่าย
การป้องกันกำจัด
๑.ใช้พันธุ์ต้านทาน
๒.อย่าใช้ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป
๓.อย่าปลูกข้าวโพดแน่นมากเกินไป
๔.โรคฝัก-เมล็ดเน่า
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อโพลเดีย เชื้อจะเข้าทำลายเมื่อข้าวโพดติดฝัก ข้าวโพดจะเริ่มขาวซีด
แล้วเปลี่ยนเป็นสีเทา หรือน้ำตาลแล้วฝักจะเน่าในที่สุด
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อฟิวซาเรียม ระยะแรกตรงหัวของเมล็ดจะมีสีขาวซีด ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู
หรือสีน้ำตาลแดง ขึ้นอยู่กับความชื้นของเมล็ด ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม จะพบเส้นใยสีขาวหรือสีชมพู
เจริญอยู่บนเมล็ดที่เป็นโรคหรือปกคลุมทั้งฝักข้าวโพด
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อเพนนิซิเลียม หรือแอสเปอร์จิลลัส ฝักข้าวโพดจะมีเชื้อรา
ซึ่งมีลักษณะเป็นผงสีเขียวเจริญอยู่ระหว่างเมล็ดข้าวโพด มักเกิดตรงปลายฝัก
ข้อมูลจาก สำนักงานเกษตรอำเภอเขาค้อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น