ดูระดับน้ำในเขื่อนของแต่ละวันได้ที่ http://www.thaiwater.net/DATA/REPORT/php/rid_bigcm.html
วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ม็อบข้าวโพดบุกศาลากลางเพชรบูรณ์ทวงเงินชดเชย
ม็อบข้าวโพดบุกศาลากลางเพชรบูรณ์ทวงเงินชดเชย
ม็อบชาวไร่ข้าวโพดจาก 5 อำเภอของจ.เพชรบูรณ์ ได้แก่ อ.เมือง อ.หล่มสัก อ.ชนแดน อ.วีงโป่งและอ.บึงสามพัน จำนวนราว 200 คน นำโดยนายยุพราช บัวอินทร์ อดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ เขต 3 และนายจำเนียร โฉมงาม เดินทางมาชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัด เพื่อติดตามเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือตามมาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยง สัตว์ราคาตกต่ำเมื่อปี 56/57 ซึ่งยังมีเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพดรายชื่อตกค้าง ยังไม่ได้รับเงินชดเชยตามมาตรการดังกล่าวอีกราว 11,000 ราย รวมวงเงินทั้งราว 300 ล้านบาทเศษ
นอกจากนี้ยังต้องการเรียกร้องให้ รัฐบาลเร่งให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพดปี 2557/2558 หลังราคาข้าวโพดเริ่มตกต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยใช้มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยแบบเดียวกันกับที่รัฐบาลให้ความช่วย เหลือชาวนาและชาวสวนยางพาราไร่ละ 1,000 ไร่ แต่ไม่เกิน 15 ไร่ต่อราย
ทั้ง นี้นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมตัวแทนทหารจากกองพลทหารม้าที่ 1 ได้เดินทางมาพบปะและเจรจากับกลุ่มชาวไร่ข้าวโพด โดยนายบัณฑิตแจ้งว่า ทางจังหวัดไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามติดตามเรื่องดังกล่าวให้อย่างต่อเนื่อง ส่วนการขอความช่วยเหลือราคาข้าวโพดตกต่ำตามมาตรการผู้มีรายได้น้อยไร่ ละ1,000 บาท จะเสนอให้ทางรัฐบาลได้รับไปพิจารณา จากนั้นกลุ่มชาวไร่ข้าวโพดจึงสลายการชุมนุมและพากันแยกย้ายเดินทางกลับ
ข้อมูลจาก posttoday.com
วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
สภาเกษตรฯ ห่วงชาวนาพ่ายAEC
ไม่ถึง 2 ปี การรวมตัวเปิดเสรีการค้าอาเซียน จะเกิดขึ้น
พืชผลการเกษตรชนิดไหน
ประเภทใดที่เกษตรกรไทยเราได้เปรียบ-เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน นายประพัฒน์
ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ บอกว่า
กลุ่มเกษตรกรที่น่าห่วงมากที่สุดคือ
การทำเกษตรที่ต้องใช้แรงงานมากอย่างเช่น พืชไร่ นาข้าวที่ได้ผลผลิตต่ำ
แต่มี การใช้แรงงานมากจะเป็นภาคส่วนที่เราเสียเปรียบ
เพราะค่าแรงงานสูงกว่าทุกประเทศในคู่แข่งทั้งลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม
ที่อัตราค่าแรงขั้นต่ำมีแค่เพียง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับไทย
รวมทั้งพืชไร่อย่าง มันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
แต่ถ้าเป็นผลไม้เพื่อการส่งออก ต้องบอกว่าประเทศไทยเราก็ยังคงยิ้มได้อีกหลายปี โดยเฉพาะมะม่วง ส้มโอ คุณภาพดี ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดทางจีนและฮ่องกง ทุเรียน มังคุด แต่เราไม่ควรประมาท ต้องพัฒนาการผลิตอาทิ สายพันธุ์ เทคนิคการผลิต วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อเพิ่มคุณภาพ เพราะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านเริ่มหันมาเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพ สายพันธุ์ เพิ่มมากขึ้น เพื่อผลักดันผลผลิตในประเทศของเขาให้มีคุณภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าไทย นอกจากเพื่อการส่งออกในอนาคต ยังเป็นการปกป้องตลาดภายในประเทศเพื่อนบ้านเองด้วย
ข่าวจาก ไทยรัฐ
แต่ถ้าเป็นผลไม้เพื่อการส่งออก ต้องบอกว่าประเทศไทยเราก็ยังคงยิ้มได้อีกหลายปี โดยเฉพาะมะม่วง ส้มโอ คุณภาพดี ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดทางจีนและฮ่องกง ทุเรียน มังคุด แต่เราไม่ควรประมาท ต้องพัฒนาการผลิตอาทิ สายพันธุ์ เทคนิคการผลิต วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อเพิ่มคุณภาพ เพราะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านเริ่มหันมาเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพ สายพันธุ์ เพิ่มมากขึ้น เพื่อผลักดันผลผลิตในประเทศของเขาให้มีคุณภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าไทย นอกจากเพื่อการส่งออกในอนาคต ยังเป็นการปกป้องตลาดภายในประเทศเพื่อนบ้านเองด้วย
ข่าวจาก ไทยรัฐ
ผู้ว่าฯ เลย พร้อมรับประชาคมอาเซียน เร่งส่วนราชการรีบปรับตัว
พ่อเมืองเลยเสริมความรู้ จนท.ส่วนราชการ รับประชาคมอาเซียน 58
เพื่อสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ ด้านพาณิชย์จังหวัด หวั่นเปิด
AEC สินค้าฝั่งลาวทะลัก กำชับต้องสร้างจุดแข็งให้กับสินค้า...
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 57 ที่ห้องประชุมแกรนด์ฮอล์ โรงแรมใบบุญเพลส จ.เลย นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผวจ.เลย เป็นประธานเปิดอบรมเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ ภายใต้ชื่อ "เหลียวหลัง มองหน้า ก้าวสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ ให้มีความพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจอาเซียนที่จะมาถึงในปี 2558" โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และสถานศึกษา เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิด
ทั้งนี้ พาณิชย์จังหวัดเลยได้แสดงความห่วงใย และแนะแนวทางการส่งเสริมให้ความรู้แก่เกษตรกร เพื่อสร้างความโดดเด่นและเข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
นายพงษ์ศักดิ์ วรวงศ์ พาณิชย์จังหวัดเลย ระบุว่า ในการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จังหวัดเลยจะต้องส่งเสริม ผลักดัน และสร้างความเข้าใจให้แก่เกษตรกร ทั้งทางด้านคุณภาพสินค้าการเกษตร โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะต้องให้มีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อสร้างจุดแข็งให้กับสินค้า เนื่องจากเป็นเขตพื้นที่ที่อยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว ซึ่งมีการผลิตสินค้าเหมือนกัน ถึงแม้คุณภาพจะสู้ไทยไม่ได้ แต่ด้านราคาถือว่าต่ำกว่านั้นเป็นจุดแข็งของสินค้าเกษตรของลาว เพราะฉะนั้น เมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียน ก็จะทำให้สินค้าจากเพื่อบ้าน ซึ่งมีราคาถูกกว่า ไหลเข้ามาในประเทศ จนส่งผลกระทบต่อเกษตรกรของจังหวัดเลยอย่างแน่นอน.
ข่าวจาก ไทยรัฐ
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 57 ที่ห้องประชุมแกรนด์ฮอล์ โรงแรมใบบุญเพลส จ.เลย นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผวจ.เลย เป็นประธานเปิดอบรมเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ ภายใต้ชื่อ "เหลียวหลัง มองหน้า ก้าวสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ ให้มีความพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจอาเซียนที่จะมาถึงในปี 2558" โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และสถานศึกษา เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิด
ทั้งนี้ พาณิชย์จังหวัดเลยได้แสดงความห่วงใย และแนะแนวทางการส่งเสริมให้ความรู้แก่เกษตรกร เพื่อสร้างความโดดเด่นและเข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
นายพงษ์ศักดิ์ วรวงศ์ พาณิชย์จังหวัดเลย ระบุว่า ในการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จังหวัดเลยจะต้องส่งเสริม ผลักดัน และสร้างความเข้าใจให้แก่เกษตรกร ทั้งทางด้านคุณภาพสินค้าการเกษตร โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะต้องให้มีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อสร้างจุดแข็งให้กับสินค้า เนื่องจากเป็นเขตพื้นที่ที่อยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว ซึ่งมีการผลิตสินค้าเหมือนกัน ถึงแม้คุณภาพจะสู้ไทยไม่ได้ แต่ด้านราคาถือว่าต่ำกว่านั้นเป็นจุดแข็งของสินค้าเกษตรของลาว เพราะฉะนั้น เมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียน ก็จะทำให้สินค้าจากเพื่อบ้าน ซึ่งมีราคาถูกกว่า ไหลเข้ามาในประเทศ จนส่งผลกระทบต่อเกษตรกรของจังหวัดเลยอย่างแน่นอน.
ข่าวจาก ไทยรัฐ
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไทย ภายใต้กรอบ AEC ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ข้าวโพด
เลี้ยงสัตว์
ถือเป็นพืชอาหารสัตว์ที่นับว่ามีความสำคัญที่สุดในบรรดาพืชอาหารสัตว์ทั้ง
หมด คิดเป็นสัดส่วน 39.7
ของปริมาณการใช้วัตถุดิบทั้งหมดในการผลิตอาหารสัตว์ปี 2552
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ในประเทศมากกว่าส่งออกไปต่าง
ประเทศ โดยใช้เป็นวัตถุดิบป้อนเข้าสู่โรงงานผลิตอาหารสัตว์ในประเทศ
ซึ่งแนวโน้มของความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยมีทิศทางเพิ่ม
ขึ้น เนื่องจากจำนวนประชากรสัตว์ เช่น ไก่เนื้อ ไก่ไข่ โคนม เป็นต้น
มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี
ซึ่งการเพิ่มขึ้นของปริมาณประชากรสัตว์มีอัตราการขยายตัวมากกว่าอัตราการ
ขยายตัวของปริมาณการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
จึงส่งผลให้ในปัจจุบันปริมาณการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่เพียงพอต่อความ
ต้องการใช้ภายในประเทศ
ถึงแม้ว่าเนื้อที่การเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปริมาณผลผลิตจะเพิ่มขึ้น
ก็ตาม
(ข้อเสนอแนะ) ยุทธศาสตร์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไทย ภายใต้กรอบ AEC ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
1. เพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่
1.1
ปรับเปลี่ยนช่วงเวลาการปลูกข้าวโพด
หรือการปลูกข้าวโพดเป็นพืชที่สองหลังพืชอายุสั้น เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิต
ลดการเกิดสารอะฟลาทอกซิน และช่วยลดความเสี่ยงจากฝนทิ้งช่วง
รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดที่เลื่อนฤดูการปลูก
ให้มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น
พัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้นและส่งเสริมนักวิจัยรุ่น
ใหม่เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
1.2 ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดในนาช่วงฤดูแล้ง
เพื่อให้ปลอดสารอะฟลาทอกซิน เนื่องจากเกษตรกรไม่จำเป็นต้องเร่งเก็บเกี่ยว
สามารถปล่อยข้าวโพดให้แห้งในแปลงได้
และเมื่อพ่อค้าคนกลางรับซื้อข้าวโพดไปแล้วก็จะทำให้มีแสงแดดเพียงพอต่อการลด
ความชื้นให้ลงอยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้ทันเวลา
2. กำหนดมาตรฐานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
กำหนดมาตรฐานการนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศ
ทั้งควบคุมคุณภาพและการปนเปื้อนสารพิษอะฟลาทอกซินในข้าวโพดเมล็ดแห้งที่เป็น
วัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศและคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศจากข้าวโพดที่นำ
เข้า รวมทั้งกำหนดวิธีการตรวจสอบที่ชัดเจน
อ้างอิงจาก ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ข้าวโพดหลังนา
โดย พีรเดช ทองอำไพ
ปีนี้อากาศผิดเพี้ยนไปจากปี
ก่อน ๆ หลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่ฝนตกน้อยมาก
จนกระทั่งเกิดภาวะแล้งเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
และดูท่าทางว่าอากาศอาจจะหนาวนานกว่าปีก่อน ๆ
และยังคาดเดาไม่ได้ว่าพอถึงหน้าร้อน อากาศจะร้อนกว่าปกติอีกหรือเปล่า
การทำเกษตรจำเป็นต้องพึ่งพาน้ำเป็นหลัก ดังนั้น
ถ้าน้ำน้อยอย่างนี้คงส่งผลกระทบไปยังเรื่องต่าง ๆ
อีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลผลิตพืชที่จะน้อยลงไป
และกระทบไปถึงอาหารสัตว์ที่น่าจะมีไม่เพียงพอ และราคาต้นทุนสูงขึ้น
และก็แน่นอนว่าต้องส่งผลกระเทือนมาถึงผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปกติการทำนาในหน้าฝนก็เป็นไปอย่างปกติ และในหลาย ๆ
พื้นที่ซึ่งอยู่ในเขตชลประทานก็มีการทำนาปรังตามมาในหน้าแล้ง
แต่ว่าปีนี้เห็นได้ชัดว่าถ้าทำนาปรังอย่างที่เคยทำกันมา
ก็ต้องเจอปัญหาขาดน้ำอย่างแน่นอนและทางกระทรวงเกษตรฯ
ก็ได้ประกาศเตือนแล้วว่าไม่ให้ทำนาปรังในปีนี้
เพราะว่าเห็นอยู่แล้วว่าเสียหายแน่นอน
แต่คำถามก็คือถ้าไม่ให้ทำนาปรังแล้วจะให้ทำอะไร
มีงานวิจัยของคุณสมชาย ปานประดับ ซึ่งเป็นนักวิชาการเกษตรอยู่ที่สถานีทดลองพืชไร่พิษณุโลก ได้ศึกษาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับการปลูกข้าวโพดหลังนา เพื่อทดแทนการทำนาปรังในฤดูแล้งในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งผลงานชิ้นนี้น่าจะเป็นคำตอบและทางเลือกให้แก่เกษตรกรทั้งหลายได้ใช้ ประโยชน์กัน เหตุที่เลือกข้าวโพดก็เพราะว่าการปลูกข้าวโพดนั้นใช้น้ำน้อยกว่าการทำนามาก แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วไปในอดีตคือผลผลิตมักจะต่ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสูง ก็เลยไม่มีแรงจูงใจให้ปลูกกัน แต่ว่านักวิจัยกลุ่มนี้พยายามแก้ปัญหาดังกล่าว ตั้งแต่เรื่องของพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม และเทคโนโลยีการปลูกรวมไปถึงการจัดการดินและปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพ
เริ่มกันตั้งแต่พันธุ์ ซึ่งพบว่าข้าวโพดพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ที่ใช้กันอยู่ ทั่วไป ถึงแม้ว่าพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวเหล่านี้จะมีราคาสูงกว่าเมล็ดพันธุ์ทั่วไป แต่การที่ผลผลิตเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 3 ก็น่าจะคุ้มค่า การปลูกก็จะเริ่มหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวไปแล้วและดินยังมีความชื้นหลงเหลือ อยู่ โดยทั่วไปจะใช้เครื่องปลูกชนิดสองแถวติดท้ายรถไถเดินตามขนาดเล็กในขณะที่ดิน มีความชื้นพอเหมาะสำหรับการงอกของเมล็ดข้าวโพด การปลูกข้าวโพดหลังนานี้จะให้น้ำเพียง 2-3 ครั้งตลอดฤดูปลูกเท่านั้น ดังนั้นจึงใช้น้ำน้อยกว่าข้าวนาปรังมาก เพียงแต่มีข้อระวังคืออย่าให้ขาดน้ำในช่วงออกดอกและสร้างเมล็ดเท่านั้นเป็น พอ
เรื่องการใส่ปุ๋ยและระยะปลูกก็ได้มีการศึกษาไว้เหมือนกันว่าเนื่องจากการ ปลูกข้าวโพดหลังนาในหน้าแล้ง ซึ่งมีการใช้น้ำน้อย ผลผลิตมักจะต่ำกว่าการปลูกในที่ที่มีน้ำมาก ดังนั้น ถ้าเพิ่มจำนวนต้นต่อไร่ ซึ่งก็คือการลดระยะปลูกให้แคบลง ก็จะทำให้จำนวนต้นต่อไร่เพิ่มมากขึ้นและผลผลิตต่อไร่ก็เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งนักวิจัยแนะนำว่าใช้ระยะระหว่างแถว 70 ซม. และระหว่างหลุม 20 ซม. น่าจะเหมาะสม ส่วนปุ๋ยที่ใช้คงต้องดูความอุดมสมบูรณ์ของดินเดิม แต่โดยทั่วไป ข้าวโพดต้องการไนโตรเจนค่อนข้างมาก และผลผลิตที่ได้มักจะขึ้นอยู่กับปริมาณไนโตรเจนที่ใส่ให้อย่างเหมาะสม ซึ่งเรื่องการใส่ปุ๋ยข้าวโพดนี้คงต้องใช้เครื่องมือที่มีอยู่ตอนนี้คือชุด ตรวจสอบ NPK ในดิน เพื่อวิเคราะห์ก่อนว่าในดินมีธาตุอาหารเดิมอยู่มากน้อยแค่ไหนแล้วควรใส่ปุ๋ย อะไรจึงจะทำให้ได้ผลผลิตสูงที่สุดและต้นทุนต่ำสุด
ความรู้เรื่องการปลูกข้าวโพดหลังนาตอนนี้มีค่อนข้างพอเพียงจนถึงขั้นถ่ายทอด ในวงกว้างได้แล้ว เพียงแต่ว่าในระดับนโยบายจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด เพราะการที่จะบอกให้ชาวนาเลิกปลูกข้าวนาปรังเพราะเหตุว่าน้ำในเขื่อนมีน้อย โดยไม่บอกทางเลือกอื่นให้ก็คงจะไม่เหมาะสมนัก การที่นักวิจัยกลุ่มนี้ได้ศึกษาพืชทดแทนข้าวนาปรังมาได้มากขนาดนี้แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็น่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไปครับ
มีงานวิจัยของคุณสมชาย ปานประดับ ซึ่งเป็นนักวิชาการเกษตรอยู่ที่สถานีทดลองพืชไร่พิษณุโลก ได้ศึกษาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับการปลูกข้าวโพดหลังนา เพื่อทดแทนการทำนาปรังในฤดูแล้งในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งผลงานชิ้นนี้น่าจะเป็นคำตอบและทางเลือกให้แก่เกษตรกรทั้งหลายได้ใช้ ประโยชน์กัน เหตุที่เลือกข้าวโพดก็เพราะว่าการปลูกข้าวโพดนั้นใช้น้ำน้อยกว่าการทำนามาก แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วไปในอดีตคือผลผลิตมักจะต่ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสูง ก็เลยไม่มีแรงจูงใจให้ปลูกกัน แต่ว่านักวิจัยกลุ่มนี้พยายามแก้ปัญหาดังกล่าว ตั้งแต่เรื่องของพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม และเทคโนโลยีการปลูกรวมไปถึงการจัดการดินและปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพ
เริ่มกันตั้งแต่พันธุ์ ซึ่งพบว่าข้าวโพดพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ที่ใช้กันอยู่ ทั่วไป ถึงแม้ว่าพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวเหล่านี้จะมีราคาสูงกว่าเมล็ดพันธุ์ทั่วไป แต่การที่ผลผลิตเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 3 ก็น่าจะคุ้มค่า การปลูกก็จะเริ่มหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวไปแล้วและดินยังมีความชื้นหลงเหลือ อยู่ โดยทั่วไปจะใช้เครื่องปลูกชนิดสองแถวติดท้ายรถไถเดินตามขนาดเล็กในขณะที่ดิน มีความชื้นพอเหมาะสำหรับการงอกของเมล็ดข้าวโพด การปลูกข้าวโพดหลังนานี้จะให้น้ำเพียง 2-3 ครั้งตลอดฤดูปลูกเท่านั้น ดังนั้นจึงใช้น้ำน้อยกว่าข้าวนาปรังมาก เพียงแต่มีข้อระวังคืออย่าให้ขาดน้ำในช่วงออกดอกและสร้างเมล็ดเท่านั้นเป็น พอ
เรื่องการใส่ปุ๋ยและระยะปลูกก็ได้มีการศึกษาไว้เหมือนกันว่าเนื่องจากการ ปลูกข้าวโพดหลังนาในหน้าแล้ง ซึ่งมีการใช้น้ำน้อย ผลผลิตมักจะต่ำกว่าการปลูกในที่ที่มีน้ำมาก ดังนั้น ถ้าเพิ่มจำนวนต้นต่อไร่ ซึ่งก็คือการลดระยะปลูกให้แคบลง ก็จะทำให้จำนวนต้นต่อไร่เพิ่มมากขึ้นและผลผลิตต่อไร่ก็เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งนักวิจัยแนะนำว่าใช้ระยะระหว่างแถว 70 ซม. และระหว่างหลุม 20 ซม. น่าจะเหมาะสม ส่วนปุ๋ยที่ใช้คงต้องดูความอุดมสมบูรณ์ของดินเดิม แต่โดยทั่วไป ข้าวโพดต้องการไนโตรเจนค่อนข้างมาก และผลผลิตที่ได้มักจะขึ้นอยู่กับปริมาณไนโตรเจนที่ใส่ให้อย่างเหมาะสม ซึ่งเรื่องการใส่ปุ๋ยข้าวโพดนี้คงต้องใช้เครื่องมือที่มีอยู่ตอนนี้คือชุด ตรวจสอบ NPK ในดิน เพื่อวิเคราะห์ก่อนว่าในดินมีธาตุอาหารเดิมอยู่มากน้อยแค่ไหนแล้วควรใส่ปุ๋ย อะไรจึงจะทำให้ได้ผลผลิตสูงที่สุดและต้นทุนต่ำสุด
ความรู้เรื่องการปลูกข้าวโพดหลังนาตอนนี้มีค่อนข้างพอเพียงจนถึงขั้นถ่ายทอด ในวงกว้างได้แล้ว เพียงแต่ว่าในระดับนโยบายจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด เพราะการที่จะบอกให้ชาวนาเลิกปลูกข้าวนาปรังเพราะเหตุว่าน้ำในเขื่อนมีน้อย โดยไม่บอกทางเลือกอื่นให้ก็คงจะไม่เหมาะสมนัก การที่นักวิจัยกลุ่มนี้ได้ศึกษาพืชทดแทนข้าวนาปรังมาได้มากขนาดนี้แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็น่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไปครับ
วิธีปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
แหล่งปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
เพชรบูรณ์ นครราชสีมา เลย ลพบุรี นครสวรรค์ ปราจีนบุรี ข้าวโพดเป็นพืชไร่เศรษฐกิจที่สำคัญของไทยชนิดหนึ่งซึ่งทำรายได้ให้ประเทศ
ปีละกว่าหมื่นล้านบาท ปลูกมากในภาคเหนือ คิดเป็นพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ที่ปลูกข้าวโพดทั้งหมดของประเทศ รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ซึ่งในแต่ละปีจะมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด ทั้งประเทศ ประมาณ ๘ - ๙ ล้านไร่ โดยได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ ๔๗๐ กิโลกรัม/ไร่ผลผลิตของข้าวโพดที่ผลิตได้ ยังไม่พอเพียงกับความต้องการใช้ภายในประเทศ เนื่องมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ของอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ จึงต้องมีการนำข้าวโพดจากต่างประเทศเข้ามาอย่างน้อย ปีละ ๕๒,๐๐๐ ตัน ดังนั้น การเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นจึงหลีกเลี่ยง ไม่ได้ ปัจจัยหลายอย่างในการเพิ่มผลผลิต เช่น พันธุ์ สภาพดินฟ้าอากาศที่ เหมาะสมปริมาณน้ำฝน การดูแลรักษาที่ถูกวิธี มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม
ข้าวโพดปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด แต่จะขึ้นได้ดีในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ดินมีความเป็นกรดหรือด่าง (pH) ระหว่าง ๕.๕ - ๘ ต้องการปริมาณน้ำฝนน้อยตลอดฤดูปลูกเพียง ๓๕๐ - ๔๐๐ มิลลิเมตร (นาปรังใช้น้ำถึง ๘๐๐ มิลลิเมตร) และ อุณหภูมิที่ปลูกข้าวโพดได้มีช่วงกว้างระหว่าง ๑๐ - ๔๐ องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงปลูกข้าวโพดได้ตลอดปี และเกือบทุกภาค ของประเทศไทย
ความต้องการน้ำ
ในระยะเวลาของการเจริญเติบโต ข้าวโพดต้องการน้ำเพียงเล็กน้อยแต่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามอายุ และต้องการน้ำสูงสุดในช่วงออกดอก และ ช่วงระยะของการสร้างเมล็ดแล้วค่อย ๆ ลดลงอีก ดังนั้นถ้าขาดน้ำในช่วงออกดอก จะทำให้ผลผลิตลงมาก จึงต้องคาดคะเนวันปลูก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าว โพดกระทบแล้งในช่วงออกดอก
พันธุ์
พันธุ์ข้าวโพดที่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลทั้งของกรมวิชาการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทั้งพันธุ์ผสมเปิดและลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูง และแนะนำส่งเสริมแก่การเกษตรกร มีหลายพันธุ์ ดังนี้
๑. นครสวรรค์ ๑ พัฒนาโดยศูนยวิจัยพืชไร่นครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร เป็นพันธุ์ผสมเปิด รับรองพันธุ์โดยกรมวิชาการเกษตร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ มีลักษณะเด่น คือ
อายุเก็บเกี่ยว ๑๐๐ - ๑๑๐ วัน ผลผลิต ๕๐๐ - ๘๐๐ กิโลกรัม/ไร่ ต้านทานโรคราน้ำค้างได้ดี เมล็ดกึ่งหัวแข็ง สีเหลืองส้ม
๒. สุวรรณ ๕ เป็นข้าวโพดพันธุ์ผสมเปิดที่ให้ผลผลิตสูงมาก และ เหมาะที่จะปลูกเพื่อตัดต้นสดไปเลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย เพราะให้ผลผลิตต้นสดสูงและมีคุณภาพดี มีลักษณะเด่น คือ
ลำต้นสูง ๒๑๐ - ๒๔๐ เซนติเมตร อายุเก็บเกี่ยว ๑๑๐ - ๑๒๐ วัน ผลผลิต ๙๑๐ - ๙๕๐ กิโลกรัม/ไร่ ต้านทานโรคราน้ำค้าง และโรคทางใบได้ดี เมล็ดสีส้มเหลือง
๓. สุวรรณ ๓๖๐๑ เป็นพันธุ์ลูกผสมเดี่ยว ให้ผลผลิตสูงมาก มีลักษณะเด่น คือ ลำต้นสูง ๒๑๐ - ๒๓๐ เซนติเมตร อายุเก็บเกี่ยว ๑๑๐ - ๑๒๐ วัน ต้านทานโรคราน้ำค้างได้ดีมาก และต้านทานการหักล้มดี ผลผลิตสูงกว่า ๘๕๐ - ๑,๐๐๐ กิโลกรัม/ไร่
ฤดูปลูก
ต้นฤดูฝน ระหว่าง เมษายน - พฤษภาคม
ปลายฤดูฝน ระหว่าง กรกฎาคม - สิงหาคม
ในเขตชลประทาน สามารถปลูกข้าวโพดได้ตลอดปี โดยทั่วไปการปลูกต้นฤดูฝน มักจะได้ผลดีกว่าปลูกปลายฤดูฝน แต่มีข้อเสียคือ ในระยะเก็บเกี่ยวจะมีฝนชุก ทำให้ข้าวโพดชื้น จะเกิดปัญหาสารอะฟลาทอกซิน เพราะตากข้าวโพดไม่แห้งแต่ปลูกปลายฤดูฝน จะมีปัญหาเตรียมดินไม่สะดวก เพราะฝนชุกและโรคต้นกล้าเน่าการเตรียมดินควรเตรียมดินใกล้ ๆ ก่อนจะปลูก หลังฝนตกแล้ว ควรไถดิน ๑ - ๒ ครั้ง ไถดะให้ลึก ๒๐ - ๓๐ เซนติเมตร ตากดินไว้ ๑๐ - ๑๕ วัน เพื่อทำลายวัชพืชและศัตรูพืชในดินบางชนิด แล้วไถแปรหรือพรวนอีก
๑ - ๒ ครั้ง เพื่อให้ดินร่วนเหมาะแก่การเจริญของต้นข้าวโพด
การปลูกแบบไม่ไถพรวน
การปลูกแบบไม่ไถพรวนหรือพรวนเฉพาะบริเวณแถวที่จะปลูกเท่านั้นก็ได้ การปลูกแบบนี้จะมีผลดีต่อเมื่อมีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชโดยมีสารเคมีหลัก คือ กรัมมอกโซน หรือ ควบคู่กับ อาทราซีน อะลาคลอร์ การปลูกแบบนี้จะมีเศษซากพืชคลุมดิน ซึ่งจะช่วยในการซับน้ำและ เก็บรักษาความชื้นในดิน รวมทั้งลดความเสียหายจากการพาราควอทชะล้างพังทลาย ของหน้าดินได้ดี โดยเฉพาะในที่ที่ลาดเทสูง
การปลูกข้าวโพดในพื้นที่นา
การปลูกข้าวโพดในพื้นที่นาในฤดูแล้ง จะแบ่งช่วงการปลูกเป็น ๒ ช่วง ดังนี้
๑. การปลูกช่วง พฤศจิกายน - ธันวาคม เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ของการปลูกข้าวโพด เนื่องจากช่วงอุณหภูมิโดยทั่วไป จะอยู่ระหว่าง ๒๐ - ๒๕ C ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม รวมไปถึงเมื่อเช้าสู่การเก็บเกี่ยวเป็นระยะที่อากาศร้อนและแห้งแล้ง จึงสะดวกในการเก็บเกี่ยว และสามารถตากห้งได้ดี (ยกเว้นบางปีที่อุณหภูมิต่ำมาก ๆ ทำให้พืช ชะงักการเจริญเติบโต)
๒. การปลูกช่วง มกราคม - กุมภาพันธ์ สภาพอากาศค่อนข้างเย็นแล้ว หลังจากนั้นอากาศจะร้อนขึ้น ทำให้ต้นข้าวโพดมีอาการใบเหี่ยวแม้ความชื้นในดินจะมีเพียงพอดินนาส่วนมาก
เป็นดินเหนียวถึงเหนียวจัด เมื่ออากาศแห้งแล้งมักจะเกิดการแตกระแหงของผิวหน้าดิน ทำให้กระทบกระเทือนต่อราก นอกจากนี้การที่อุณหภูมิสูงมาจะเป็นอันตรายต่อการผสมเกสร และการสร้างเมล็ดด้วย
หมายเหตุ การปลูกในเดือนมีนาคม ไม่เหมาะสมที่จะปลูกข้าวโพดเพราะอากาศจะร้อน ต้นข้าวโพดจะเจริญช้า และต้องให้น้ำบ่อยกว่าช่วงอื่นจึงไม่แนะนำให้ปลูกในช่วงเดือนมีนาคม
การเตรียมดินปลูกข้าวโพดในพื้นที่นาควรไถโดยใช้ผานเจ็ด ไถดินในขณะที่ดินยังมีความชื้นปานกลางหลังจากนั้นจะต้องยกร่องลูกฟูก ให้สันลูกฟูกห่างกันประมาณ ๗๕ เซนติเมตร เพื่อที่จะให้ปลูกข้าวโพดบนบนสันร่องนี้ หรือจะยกร่องหว้าง ๑๕๐ เซนติเมตร แล้วปลูกข้าวโพดบนร่อง ๒ แถวก็ได้ การที่ต้องยกร่องในการปลูกข้าวโพด ก็เพื่อประโยชน์ในการให้น้ำ ้ำตามร่องลูกฟูกนี้ การยกร่องจะช่วย ไม่ให้รากข้าวดพดแช่น้ำนานเกินไป เพราะข้าวโพดไม่ชอบน้ำขัง (หากพื้นที่นา ไม่สามารถยกร่อง ได้ ไม่ควรปลูกข้าวโพด) การปลูก ระยะปลูก
การดูแลรักษา การใส่ปุ๋ย การป้องกันโรคแมลง และการเก็บเกี่ยว ทำเช่นเดียวกับการปลูกในสภาพไร่ ยกเว้นการกำจัดวัชพืช ควรใช้วิธีกลเท่านั้น เพราะสารเคมี ในการควบคุมวัชพืช
จะเป็นอันตรายต่อข้าวที่จะปลูกตามในภายหลังได้
การปลูกและระยะปลูก
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ใช้ระยะ ๗๕ x ๗๕ เซนติเมตร หยอดเป็นหลุมหลุมละ ๔ เมล็ด กลบดินหนา ประมาณ ๕ เซนติเมตร ให้แน่นพอประมาณเมื่อข้าวโพดอายุประมาณ ๑๕ วัน ควรถอนต้นที่ไม่แข็งแรงทิ้ง เหลือไว้ หลุมละ ๓ ต้น หรือ ใช้ระยะ ๗๕ x ๕๐ เซนติเมตร หยอดหลุมละ ๓ เมล็ด ถอนให้เหลือหลุมละ ๒ ต้น ถ้าใช้เครื่องจักรปลูก ควรใช้ระยะ ๗๕ x ๕๐ เซนติเมตร โดยให้มีจำนวนต้นข้าวโพดประมาณ ๘,๕๐๐ ต้น/ไร่ ซึ่งใช้เมล็ดพันธุ์ ๓ - ๔ กิโลกรัม/ไร่ ข้าวโพดหวานหรือข้าวโพดเทียน ใช้ระยะปลูกเดียกัน แต่ปลูกให้มีจำนวนต้น/ไร่ มากกว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อีก ๒๕ - ๕๐ %
การใส่ปุ๋ย
ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ผลผลิตข้าวโพดทุก ๆ ๑๐๐ ืกิโลกรัมจะสูญเสียธาตุอาหารหลักไปกับเมล็ด คือ ไนโตรเจน ๑.๕๙ กิโลกรัม ฟอสฟอรัส ๐.๓๘ กิโลกรัม โพแทสเซียม ๐.๕๑ กิโลกรัม ส่วนใดตอซังจะสูญเสีย ไนโตรเจน ๐.๗๗ กิโลกรัม ฟอสฟอรัส ๐.๑๑ กิโลกรัม โพแทสเซียม ๑.๖๒ กิโลกรัม ดังนั้นจึงไม่ควรเผาต้นหรือนำตอซังไปทิ้ง ควรไถกลบลงดินเป็นปุ๋ย
พืชสด การให้ปุ๋ยข้าวโพด พิจารณาจากดินที่ปลูก ดังนี้
ดินเหนียวสีแดง
ใส่ปุ๋ยยูเรีย อัตรา ๑๓ กิโลกรัม/ไร่ (หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา ๕๐ กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมี ๑๖ - ๒๐ - ๐ อัตรา ๒๕ กิโลกรัม/ไร่ ควรใส่ปุ๋ย ๑๖-๒๐-๐ ก่อนปลูกเล็กน้อย หรือพร้อมปลูก และใส่ปุ๋ยยูเรียเมื่อข้าวโพดอายุ ๑ เดือน
ดินเหนียวสีดำ
ใส่ปุ๋ยยูเรีย ๒๒ กิโลกรัม/ไร่ (หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา ๕๐ กิโลกรัม/ไร่) ควรใส่เมื่อข้าวโพดมีอายุได้ ๑ เดือน
ดินปนทราย
ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร ๑๖-๑๖-๘ อัตรา ๕๐ - ๗๕ กิโลกรัม/ไร่ ใส่ปุ๋ยครั้งเดียวเมื่อข้าวโพดอายุ ๒๐ - ๓๕ วัน หรือมีความสูงเท่าเข่า และดินมีความชื้นเพียงพอ พร้อมกับการกำจัด
วัชพืชครั้งแรก การใส่ปุ๋ยที่ถูกต้องและประหยัดมากที่สุดนั้น คือใส่ปุ๋ยเฉพาะเท่าที่จำเป็น โดยนำดินไปวิเคราะห์หาว่ามีธาตุอาหารอยู่มากหรือน้อยเพียงใด แล้วใส่ธาตุอาหาร เฉพาะที่ขาดแคลนเท่านั้น
การกำจัดวัชพืช
ช่วงวิกฤตที่ข้าวโพดอ่อนแอต่อวัชพืชที่สุดคือ ระยะ ๑๓ - ๒๕ วัน หลังงอก ระยะนี้ถ้ามีวัชพืชรบกวนจะทำให้ผลผลิต ข้าวโพดเสียหายสูงสุด ดังนั้นการปลูกข้าวโพดให้ได้ผลผลิตสูง จึงต้องให้แปลงปลอดวัชพืช ตลอดช่วง ๑ เดือนแรกตั้งแต่ปลูก โดยเลือกวิธีการกำจัดวัชพืชที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ ดังนี้
๑.การไถและพรวนดิน ก่อนปลูกข้าวโพด โดยไถและพรวนดินหลังวัชพืชงอก จะช่วยทำลายกล้าวัชพืชให้ตายได้ ส่วนกล้าและเหง้าวัชพืชที่ตายยาก ควรตากดินนาน ๑๐ - ๑๕ วัน เพื่อให้วัชพืชพืชตาย ก่อนปลูกข้าวโพด
๒.การทำรุ่น เป็นการพรวนดิน ดายหญ้า หลังข้าวโพดงอกแล้วแต่ก่อนจะถึง ระยะวิกฤตโดยใช้เครื่องมือกลต่าง ๆ เช่น จอบ ไถ รถไถและรถแทรกเตอร์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การใช้ไถพูนโคนมักมีวัชพืช ในแถวหลงเหลืออยู่จึงต้องใช้ขอบดายตามอีกครั้ง
๓.การใช้สารเคมี อาจใช้ทันทีหลังปลูกข้าวโพดหรือพ่นกำจัดวัชพืชฟลังข้าวโพดและวัชพืชงอกแล้ว การใช้สารเคมีเป็นวิธีที่สะดวกและประหยัด แต่ต้องระมัดระวัง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อคน พืชอื่น ๆ และสิ่งแวดล้อม ควรฉีดพ่นขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่ สารเคมีที่แนะนำมีดังนี้
อาทราซีน (ชนิดผง ๘๐%) ใช้ก่อข้าวโพดงอก อัตรา ๕๐๐ กรัม/ไร่ ถ้าเป็นดินเหนียวให้ใช้เพิ่มขึ้นอีก ใช้ควบคุมวัชพืชใบกว้างและแคบได้ดีเป็นพิษต่อผักและพืชตระกูลถั่ว ดังนั้น ถ้าจะปลูกถั่วตามหลังข้าวโพด ไม่ควรใช้อาทราซีน
อะลาคลอร์ ใช้ฉีดพ่นวัชพืชก่อนข้าวโพดงอก ใช้อัตรา ๕๐๐ - ๑,๐๐๐ ซีซี/ไร่ กำจัดวัชพืชใบแคบได้ดี เป็นพิษต่อข้าวฟ่าง ดังนั้นถ้าจะปลูกข้าวฟ่างตามหลังข้าวโพด ไม่ควรใช้อะลาคลอร์
หมายเหตุ การใช้สารกำจัดวัชพืช จะได้ผลดีถ้าปฏิบัติถูกต้อง แต่มีข้อควรระวัง คือ ต้องผสมน้ำและฉีดพ่นขณะที่ดินยังชื้นอยู่ และไม่แนะนำให้ปลูกข้าวฟ่างตามหลังข้าวโพด เพราะทั้ง ๒ พืชมีระบบรากคล้ายกันและใช้ธาตุอาหารคล้ายกัน ดินจะเสื่อมเร็ว ควรปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่น
โรค-แมลงศัตรูข้าวโพด
๑.โรคราน้ำค้าง เชื้อรานี้จะเข้าทำลายตั้งแต่ระยะต้นกล้าจนถึงอายุประมาณ ๒ เดือน ใบจะเป็นทาง ซีดขาวหรือเขียวอ่อนจากฐานใบถึงปลายใบ ถ้าเป็นมากจะทำให้ต้นแห้งตาย เชื้อนี้ปลิวไปในอากาศหรืออาจติดไปกับเมล็ดได้
การป้องกันกำจัด
๑.ปลูกพันธ์ต้านทานในแหล่งที่โรคระบาด
๒.คลุกเมล็ดด้วยสารเคมี เมตาแล็กซีล เช่น เอพรอน ๓๕ SD อัตรา ๗ กรัม/เมล็ดพันธุ์ ๑ กิโลกรัม
๓.เมื่อพบเห้นต้นข้าวโพดแสดงอาการ รีบถอนแล้วเผาทำลาย
๒.โรคใบไหม้ แผลเล็ก
ลักษณะอาการ ต้นข้าวโพดจะเกิดแผลบนใบขนานไปตามเส้นใบ ขอบแผลสีน้ำตาล ตรงกลางแผลกว้าง ๖ - ๑๒ มิลลิเมตร ยาว ๖ - ๒๗ มิลลิเมตร ถ้าเกิดกับต้นกล้าจะแห้งตายทั้งต้น หากเป็นกับต้นโต จะ เป็นที่ใบล่าวก่อน แล้วลามไปทั้งต้น
การป้องกันกำจัด
๑.ใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่ไม่เป็นโรค
๒.ถอนต้นที่เป็นโรคแล้วเผา
๓.เมื่อเริ่มเป็นโรคใช้สารเคมี ไซเนบ มาเนบ อัตรา ๒-๓ ช้อนแกง/น้ำ ๒๐ ลิตร ฉีดพ่น ๗-๑๐ วัน/ครั้ง จำนวน ๔ ครั้ง
๔.เผาทำลายพืชอาศัยของโรค เช่น หญ้าเดือย ซากข้าวโพดซากข้าวฟ่าง ฯลฯ
๓.โรคต้นเน่า
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อดิโพลเดีย จะเกิดบริเวณโคนต้นโดยเกิดเป็นแผลสีซีด ตามความยาวของลำต้น ต่อมาแผลจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ถ้าเป็นรุนแรง ลำต้นจะแตก
หรือฉีกออกทำให้ต้นหักล้มง่าย
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อฟิวซาเรียม เกิดบริเวณโคนต้นแผลสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม บริเวณแผลจะแห้ง ลำต้นแตกหรือฉีกขาดบางครั้งพบเส้นใยของเชื้อราสีขาว ปกคลุมบริเวณแผลทำให้ต้นหักล้มง่าย
การป้องกันกำจัด
๑.ใช้พันธุ์ต้านทาน
๒.อย่าใช้ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป
๓.อย่าปลูกข้าวโพดแน่นมากเกินไป
๔.โรคฝัก-เมล็ดเน่า
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อโพลเดีย เชื้อจะเข้าทำลายเมื่อข้าวโพดติดฝัก ข้าวโพดจะเริ่มขาวซีด แล้วเปลี่ยนเป็นสีเทา หรือน้ำตาลแล้วฝักจะเน่าในที่สุด
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อฟิวซาเรียม ระยะแรกตรงหัวของเมล็ดจะมีสีขาวซีด ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู หรือสีน้ำตาลแดง ขึ้นอยู่กับความชื้นของเมล็ด ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม จะพบเส้นใยสีขาวหรือสีชมพู เจริญอยู่บนเมล็ดที่เป็นโรคหรือปกคลุมทั้งฝักข้าวโพด
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อเพนนิซิเลียม หรือแอสเปอร์จิลลัส ฝักข้าวโพดจะมีเชื้อรา ซึ่งมีลักษณะเป็นผงสีเขียวเจริญอยู่ระหว่างเมล็ดข้าวโพด มักเกิดตรงปลายฝัก
ข้อมูลจาก สำนักงานเกษตรอำเภอเขาค้อ
ปีละกว่าหมื่นล้านบาท ปลูกมากในภาคเหนือ คิดเป็นพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ที่ปลูกข้าวโพดทั้งหมดของประเทศ รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ซึ่งในแต่ละปีจะมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด ทั้งประเทศ ประมาณ ๘ - ๙ ล้านไร่ โดยได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ ๔๗๐ กิโลกรัม/ไร่ผลผลิตของข้าวโพดที่ผลิตได้ ยังไม่พอเพียงกับความต้องการใช้ภายในประเทศ เนื่องมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ของอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ จึงต้องมีการนำข้าวโพดจากต่างประเทศเข้ามาอย่างน้อย ปีละ ๕๒,๐๐๐ ตัน ดังนั้น การเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นจึงหลีกเลี่ยง ไม่ได้ ปัจจัยหลายอย่างในการเพิ่มผลผลิต เช่น พันธุ์ สภาพดินฟ้าอากาศที่ เหมาะสมปริมาณน้ำฝน การดูแลรักษาที่ถูกวิธี มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม
ข้าวโพดปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด แต่จะขึ้นได้ดีในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ดินมีความเป็นกรดหรือด่าง (pH) ระหว่าง ๕.๕ - ๘ ต้องการปริมาณน้ำฝนน้อยตลอดฤดูปลูกเพียง ๓๕๐ - ๔๐๐ มิลลิเมตร (นาปรังใช้น้ำถึง ๘๐๐ มิลลิเมตร) และ อุณหภูมิที่ปลูกข้าวโพดได้มีช่วงกว้างระหว่าง ๑๐ - ๔๐ องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงปลูกข้าวโพดได้ตลอดปี และเกือบทุกภาค ของประเทศไทย
ความต้องการน้ำ
ในระยะเวลาของการเจริญเติบโต ข้าวโพดต้องการน้ำเพียงเล็กน้อยแต่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามอายุ และต้องการน้ำสูงสุดในช่วงออกดอก และ ช่วงระยะของการสร้างเมล็ดแล้วค่อย ๆ ลดลงอีก ดังนั้นถ้าขาดน้ำในช่วงออกดอก จะทำให้ผลผลิตลงมาก จึงต้องคาดคะเนวันปลูก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าว โพดกระทบแล้งในช่วงออกดอก
พันธุ์
พันธุ์ข้าวโพดที่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลทั้งของกรมวิชาการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทั้งพันธุ์ผสมเปิดและลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูง และแนะนำส่งเสริมแก่การเกษตรกร มีหลายพันธุ์ ดังนี้
๑. นครสวรรค์ ๑ พัฒนาโดยศูนยวิจัยพืชไร่นครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร เป็นพันธุ์ผสมเปิด รับรองพันธุ์โดยกรมวิชาการเกษตร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ มีลักษณะเด่น คือ
อายุเก็บเกี่ยว ๑๐๐ - ๑๑๐ วัน ผลผลิต ๕๐๐ - ๘๐๐ กิโลกรัม/ไร่ ต้านทานโรคราน้ำค้างได้ดี เมล็ดกึ่งหัวแข็ง สีเหลืองส้ม
๒. สุวรรณ ๕ เป็นข้าวโพดพันธุ์ผสมเปิดที่ให้ผลผลิตสูงมาก และ เหมาะที่จะปลูกเพื่อตัดต้นสดไปเลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย เพราะให้ผลผลิตต้นสดสูงและมีคุณภาพดี มีลักษณะเด่น คือ
ลำต้นสูง ๒๑๐ - ๒๔๐ เซนติเมตร อายุเก็บเกี่ยว ๑๑๐ - ๑๒๐ วัน ผลผลิต ๙๑๐ - ๙๕๐ กิโลกรัม/ไร่ ต้านทานโรคราน้ำค้าง และโรคทางใบได้ดี เมล็ดสีส้มเหลือง
๓. สุวรรณ ๓๖๐๑ เป็นพันธุ์ลูกผสมเดี่ยว ให้ผลผลิตสูงมาก มีลักษณะเด่น คือ ลำต้นสูง ๒๑๐ - ๒๓๐ เซนติเมตร อายุเก็บเกี่ยว ๑๑๐ - ๑๒๐ วัน ต้านทานโรคราน้ำค้างได้ดีมาก และต้านทานการหักล้มดี ผลผลิตสูงกว่า ๘๕๐ - ๑,๐๐๐ กิโลกรัม/ไร่
ฤดูปลูก
ต้นฤดูฝน ระหว่าง เมษายน - พฤษภาคม
ปลายฤดูฝน ระหว่าง กรกฎาคม - สิงหาคม
ในเขตชลประทาน สามารถปลูกข้าวโพดได้ตลอดปี โดยทั่วไปการปลูกต้นฤดูฝน มักจะได้ผลดีกว่าปลูกปลายฤดูฝน แต่มีข้อเสียคือ ในระยะเก็บเกี่ยวจะมีฝนชุก ทำให้ข้าวโพดชื้น จะเกิดปัญหาสารอะฟลาทอกซิน เพราะตากข้าวโพดไม่แห้งแต่ปลูกปลายฤดูฝน จะมีปัญหาเตรียมดินไม่สะดวก เพราะฝนชุกและโรคต้นกล้าเน่าการเตรียมดินควรเตรียมดินใกล้ ๆ ก่อนจะปลูก หลังฝนตกแล้ว ควรไถดิน ๑ - ๒ ครั้ง ไถดะให้ลึก ๒๐ - ๓๐ เซนติเมตร ตากดินไว้ ๑๐ - ๑๕ วัน เพื่อทำลายวัชพืชและศัตรูพืชในดินบางชนิด แล้วไถแปรหรือพรวนอีก
๑ - ๒ ครั้ง เพื่อให้ดินร่วนเหมาะแก่การเจริญของต้นข้าวโพด
การปลูกแบบไม่ไถพรวน
การปลูกแบบไม่ไถพรวนหรือพรวนเฉพาะบริเวณแถวที่จะปลูกเท่านั้นก็ได้ การปลูกแบบนี้จะมีผลดีต่อเมื่อมีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชโดยมีสารเคมีหลัก คือ กรัมมอกโซน หรือ ควบคู่กับ อาทราซีน อะลาคลอร์ การปลูกแบบนี้จะมีเศษซากพืชคลุมดิน ซึ่งจะช่วยในการซับน้ำและ เก็บรักษาความชื้นในดิน รวมทั้งลดความเสียหายจากการพาราควอทชะล้างพังทลาย ของหน้าดินได้ดี โดยเฉพาะในที่ที่ลาดเทสูง
การปลูกข้าวโพดในพื้นที่นา
การปลูกข้าวโพดในพื้นที่นาในฤดูแล้ง จะแบ่งช่วงการปลูกเป็น ๒ ช่วง ดังนี้
๑. การปลูกช่วง พฤศจิกายน - ธันวาคม เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ของการปลูกข้าวโพด เนื่องจากช่วงอุณหภูมิโดยทั่วไป จะอยู่ระหว่าง ๒๐ - ๒๕ C ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม รวมไปถึงเมื่อเช้าสู่การเก็บเกี่ยวเป็นระยะที่อากาศร้อนและแห้งแล้ง จึงสะดวกในการเก็บเกี่ยว และสามารถตากห้งได้ดี (ยกเว้นบางปีที่อุณหภูมิต่ำมาก ๆ ทำให้พืช ชะงักการเจริญเติบโต)
๒. การปลูกช่วง มกราคม - กุมภาพันธ์ สภาพอากาศค่อนข้างเย็นแล้ว หลังจากนั้นอากาศจะร้อนขึ้น ทำให้ต้นข้าวโพดมีอาการใบเหี่ยวแม้ความชื้นในดินจะมีเพียงพอดินนาส่วนมาก
เป็นดินเหนียวถึงเหนียวจัด เมื่ออากาศแห้งแล้งมักจะเกิดการแตกระแหงของผิวหน้าดิน ทำให้กระทบกระเทือนต่อราก นอกจากนี้การที่อุณหภูมิสูงมาจะเป็นอันตรายต่อการผสมเกสร และการสร้างเมล็ดด้วย
หมายเหตุ การปลูกในเดือนมีนาคม ไม่เหมาะสมที่จะปลูกข้าวโพดเพราะอากาศจะร้อน ต้นข้าวโพดจะเจริญช้า และต้องให้น้ำบ่อยกว่าช่วงอื่นจึงไม่แนะนำให้ปลูกในช่วงเดือนมีนาคม
การเตรียมดินปลูกข้าวโพดในพื้นที่นาควรไถโดยใช้ผานเจ็ด ไถดินในขณะที่ดินยังมีความชื้นปานกลางหลังจากนั้นจะต้องยกร่องลูกฟูก ให้สันลูกฟูกห่างกันประมาณ ๗๕ เซนติเมตร เพื่อที่จะให้ปลูกข้าวโพดบนบนสันร่องนี้ หรือจะยกร่องหว้าง ๑๕๐ เซนติเมตร แล้วปลูกข้าวโพดบนร่อง ๒ แถวก็ได้ การที่ต้องยกร่องในการปลูกข้าวโพด ก็เพื่อประโยชน์ในการให้น้ำ ้ำตามร่องลูกฟูกนี้ การยกร่องจะช่วย ไม่ให้รากข้าวดพดแช่น้ำนานเกินไป เพราะข้าวโพดไม่ชอบน้ำขัง (หากพื้นที่นา ไม่สามารถยกร่อง ได้ ไม่ควรปลูกข้าวโพด) การปลูก ระยะปลูก
การดูแลรักษา การใส่ปุ๋ย การป้องกันโรคแมลง และการเก็บเกี่ยว ทำเช่นเดียวกับการปลูกในสภาพไร่ ยกเว้นการกำจัดวัชพืช ควรใช้วิธีกลเท่านั้น เพราะสารเคมี ในการควบคุมวัชพืช
จะเป็นอันตรายต่อข้าวที่จะปลูกตามในภายหลังได้
การปลูกและระยะปลูก
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ใช้ระยะ ๗๕ x ๗๕ เซนติเมตร หยอดเป็นหลุมหลุมละ ๔ เมล็ด กลบดินหนา ประมาณ ๕ เซนติเมตร ให้แน่นพอประมาณเมื่อข้าวโพดอายุประมาณ ๑๕ วัน ควรถอนต้นที่ไม่แข็งแรงทิ้ง เหลือไว้ หลุมละ ๓ ต้น หรือ ใช้ระยะ ๗๕ x ๕๐ เซนติเมตร หยอดหลุมละ ๓ เมล็ด ถอนให้เหลือหลุมละ ๒ ต้น ถ้าใช้เครื่องจักรปลูก ควรใช้ระยะ ๗๕ x ๕๐ เซนติเมตร โดยให้มีจำนวนต้นข้าวโพดประมาณ ๘,๕๐๐ ต้น/ไร่ ซึ่งใช้เมล็ดพันธุ์ ๓ - ๔ กิโลกรัม/ไร่ ข้าวโพดหวานหรือข้าวโพดเทียน ใช้ระยะปลูกเดียกัน แต่ปลูกให้มีจำนวนต้น/ไร่ มากกว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อีก ๒๕ - ๕๐ %
การใส่ปุ๋ย
ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ผลผลิตข้าวโพดทุก ๆ ๑๐๐ ืกิโลกรัมจะสูญเสียธาตุอาหารหลักไปกับเมล็ด คือ ไนโตรเจน ๑.๕๙ กิโลกรัม ฟอสฟอรัส ๐.๓๘ กิโลกรัม โพแทสเซียม ๐.๕๑ กิโลกรัม ส่วนใดตอซังจะสูญเสีย ไนโตรเจน ๐.๗๗ กิโลกรัม ฟอสฟอรัส ๐.๑๑ กิโลกรัม โพแทสเซียม ๑.๖๒ กิโลกรัม ดังนั้นจึงไม่ควรเผาต้นหรือนำตอซังไปทิ้ง ควรไถกลบลงดินเป็นปุ๋ย
พืชสด การให้ปุ๋ยข้าวโพด พิจารณาจากดินที่ปลูก ดังนี้
ดินเหนียวสีแดง
ใส่ปุ๋ยยูเรีย อัตรา ๑๓ กิโลกรัม/ไร่ (หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา ๕๐ กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมี ๑๖ - ๒๐ - ๐ อัตรา ๒๕ กิโลกรัม/ไร่ ควรใส่ปุ๋ย ๑๖-๒๐-๐ ก่อนปลูกเล็กน้อย หรือพร้อมปลูก และใส่ปุ๋ยยูเรียเมื่อข้าวโพดอายุ ๑ เดือน
ดินเหนียวสีดำ
ใส่ปุ๋ยยูเรีย ๒๒ กิโลกรัม/ไร่ (หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา ๕๐ กิโลกรัม/ไร่) ควรใส่เมื่อข้าวโพดมีอายุได้ ๑ เดือน
ดินปนทราย
ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร ๑๖-๑๖-๘ อัตรา ๕๐ - ๗๕ กิโลกรัม/ไร่ ใส่ปุ๋ยครั้งเดียวเมื่อข้าวโพดอายุ ๒๐ - ๓๕ วัน หรือมีความสูงเท่าเข่า และดินมีความชื้นเพียงพอ พร้อมกับการกำจัด
วัชพืชครั้งแรก การใส่ปุ๋ยที่ถูกต้องและประหยัดมากที่สุดนั้น คือใส่ปุ๋ยเฉพาะเท่าที่จำเป็น โดยนำดินไปวิเคราะห์หาว่ามีธาตุอาหารอยู่มากหรือน้อยเพียงใด แล้วใส่ธาตุอาหาร เฉพาะที่ขาดแคลนเท่านั้น
การกำจัดวัชพืช
ช่วงวิกฤตที่ข้าวโพดอ่อนแอต่อวัชพืชที่สุดคือ ระยะ ๑๓ - ๒๕ วัน หลังงอก ระยะนี้ถ้ามีวัชพืชรบกวนจะทำให้ผลผลิต ข้าวโพดเสียหายสูงสุด ดังนั้นการปลูกข้าวโพดให้ได้ผลผลิตสูง จึงต้องให้แปลงปลอดวัชพืช ตลอดช่วง ๑ เดือนแรกตั้งแต่ปลูก โดยเลือกวิธีการกำจัดวัชพืชที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ ดังนี้
๑.การไถและพรวนดิน ก่อนปลูกข้าวโพด โดยไถและพรวนดินหลังวัชพืชงอก จะช่วยทำลายกล้าวัชพืชให้ตายได้ ส่วนกล้าและเหง้าวัชพืชที่ตายยาก ควรตากดินนาน ๑๐ - ๑๕ วัน เพื่อให้วัชพืชพืชตาย ก่อนปลูกข้าวโพด
๒.การทำรุ่น เป็นการพรวนดิน ดายหญ้า หลังข้าวโพดงอกแล้วแต่ก่อนจะถึง ระยะวิกฤตโดยใช้เครื่องมือกลต่าง ๆ เช่น จอบ ไถ รถไถและรถแทรกเตอร์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การใช้ไถพูนโคนมักมีวัชพืช ในแถวหลงเหลืออยู่จึงต้องใช้ขอบดายตามอีกครั้ง
๓.การใช้สารเคมี อาจใช้ทันทีหลังปลูกข้าวโพดหรือพ่นกำจัดวัชพืชฟลังข้าวโพดและวัชพืชงอกแล้ว การใช้สารเคมีเป็นวิธีที่สะดวกและประหยัด แต่ต้องระมัดระวัง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อคน พืชอื่น ๆ และสิ่งแวดล้อม ควรฉีดพ่นขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่ สารเคมีที่แนะนำมีดังนี้
อาทราซีน (ชนิดผง ๘๐%) ใช้ก่อข้าวโพดงอก อัตรา ๕๐๐ กรัม/ไร่ ถ้าเป็นดินเหนียวให้ใช้เพิ่มขึ้นอีก ใช้ควบคุมวัชพืชใบกว้างและแคบได้ดีเป็นพิษต่อผักและพืชตระกูลถั่ว ดังนั้น ถ้าจะปลูกถั่วตามหลังข้าวโพด ไม่ควรใช้อาทราซีน
อะลาคลอร์ ใช้ฉีดพ่นวัชพืชก่อนข้าวโพดงอก ใช้อัตรา ๕๐๐ - ๑,๐๐๐ ซีซี/ไร่ กำจัดวัชพืชใบแคบได้ดี เป็นพิษต่อข้าวฟ่าง ดังนั้นถ้าจะปลูกข้าวฟ่างตามหลังข้าวโพด ไม่ควรใช้อะลาคลอร์
หมายเหตุ การใช้สารกำจัดวัชพืช จะได้ผลดีถ้าปฏิบัติถูกต้อง แต่มีข้อควรระวัง คือ ต้องผสมน้ำและฉีดพ่นขณะที่ดินยังชื้นอยู่ และไม่แนะนำให้ปลูกข้าวฟ่างตามหลังข้าวโพด เพราะทั้ง ๒ พืชมีระบบรากคล้ายกันและใช้ธาตุอาหารคล้ายกัน ดินจะเสื่อมเร็ว ควรปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่น
โรค-แมลงศัตรูข้าวโพด
๑.โรคราน้ำค้าง เชื้อรานี้จะเข้าทำลายตั้งแต่ระยะต้นกล้าจนถึงอายุประมาณ ๒ เดือน ใบจะเป็นทาง ซีดขาวหรือเขียวอ่อนจากฐานใบถึงปลายใบ ถ้าเป็นมากจะทำให้ต้นแห้งตาย เชื้อนี้ปลิวไปในอากาศหรืออาจติดไปกับเมล็ดได้
การป้องกันกำจัด
๑.ปลูกพันธ์ต้านทานในแหล่งที่โรคระบาด
๒.คลุกเมล็ดด้วยสารเคมี เมตาแล็กซีล เช่น เอพรอน ๓๕ SD อัตรา ๗ กรัม/เมล็ดพันธุ์ ๑ กิโลกรัม
๓.เมื่อพบเห้นต้นข้าวโพดแสดงอาการ รีบถอนแล้วเผาทำลาย
๒.โรคใบไหม้ แผลเล็ก
ลักษณะอาการ ต้นข้าวโพดจะเกิดแผลบนใบขนานไปตามเส้นใบ ขอบแผลสีน้ำตาล ตรงกลางแผลกว้าง ๖ - ๑๒ มิลลิเมตร ยาว ๖ - ๒๗ มิลลิเมตร ถ้าเกิดกับต้นกล้าจะแห้งตายทั้งต้น หากเป็นกับต้นโต จะ เป็นที่ใบล่าวก่อน แล้วลามไปทั้งต้น
การป้องกันกำจัด
๑.ใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่ไม่เป็นโรค
๒.ถอนต้นที่เป็นโรคแล้วเผา
๓.เมื่อเริ่มเป็นโรคใช้สารเคมี ไซเนบ มาเนบ อัตรา ๒-๓ ช้อนแกง/น้ำ ๒๐ ลิตร ฉีดพ่น ๗-๑๐ วัน/ครั้ง จำนวน ๔ ครั้ง
๔.เผาทำลายพืชอาศัยของโรค เช่น หญ้าเดือย ซากข้าวโพดซากข้าวฟ่าง ฯลฯ
๓.โรคต้นเน่า
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อดิโพลเดีย จะเกิดบริเวณโคนต้นโดยเกิดเป็นแผลสีซีด ตามความยาวของลำต้น ต่อมาแผลจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ถ้าเป็นรุนแรง ลำต้นจะแตก
หรือฉีกออกทำให้ต้นหักล้มง่าย
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อฟิวซาเรียม เกิดบริเวณโคนต้นแผลสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม บริเวณแผลจะแห้ง ลำต้นแตกหรือฉีกขาดบางครั้งพบเส้นใยของเชื้อราสีขาว ปกคลุมบริเวณแผลทำให้ต้นหักล้มง่าย
การป้องกันกำจัด
๑.ใช้พันธุ์ต้านทาน
๒.อย่าใช้ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป
๓.อย่าปลูกข้าวโพดแน่นมากเกินไป
๔.โรคฝัก-เมล็ดเน่า
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อโพลเดีย เชื้อจะเข้าทำลายเมื่อข้าวโพดติดฝัก ข้าวโพดจะเริ่มขาวซีด แล้วเปลี่ยนเป็นสีเทา หรือน้ำตาลแล้วฝักจะเน่าในที่สุด
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อฟิวซาเรียม ระยะแรกตรงหัวของเมล็ดจะมีสีขาวซีด ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู หรือสีน้ำตาลแดง ขึ้นอยู่กับความชื้นของเมล็ด ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม จะพบเส้นใยสีขาวหรือสีชมพู เจริญอยู่บนเมล็ดที่เป็นโรคหรือปกคลุมทั้งฝักข้าวโพด
ลักษณะอาการ ถ้าเกิดจากเชื้อเพนนิซิเลียม หรือแอสเปอร์จิลลัส ฝักข้าวโพดจะมีเชื้อรา ซึ่งมีลักษณะเป็นผงสีเขียวเจริญอยู่ระหว่างเมล็ดข้าวโพด มักเกิดตรงปลายฝัก
ข้อมูลจาก สำนักงานเกษตรอำเภอเขาค้อ
การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนาโดยไม่มีการให้น้ำ
การปลูกข้าวโพดหลังนาไม่ใช้น้ำแต่ได้ผลดี
การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนาไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่ก็ต้องมีการให้น้ำบ้างจึงจะได้ผล
แต่คุณโกมินทร์ พลบุตร เกษตรกรหมู่ที่
7
อำเภอพรานกระต่าย
สามารถปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ผลดี โดยไม่มีการให้น้ำ
จากการเล่าของคุณโกมินทร์ ว่าการที่จะทำให้ประสบผลสำเร็จได้ต้องอาศัยทั้งเรื่องภูมิปัญญาและเทคโนโลยีมาปฏิบัติร่วมกัน ในเขตพื้นที่หมู่ที่ 7 ตำบลห้วยยั้งทำนาได้ครั้งเดียวเฉเพาะในช่วงฤดูฝนเพราะไม่มีระบบน้ำชลประทาน หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จก็จะไปหางานทำในกรุงเทพฯดังนั้นจึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอพรานกระต่าย หาพืชที่ทนแล้งสามารถให้ผลผลิตได้ดีถ้าไม่มีน้ำให้ตั้งแต่ปลูกถึงเก็บเกี่ยว จึงเลือกปลูกข้าวโพดลูกผสมที่มีคุณสมบัติในการทนแล้งมาปลูกร่วมกับการจัดการเตรียมดินที่ดี โดยการไถดะกลบตอซัง ให้ลึกแล้วไถดะซ้ำอีก 2-3 ครั้งเพื่อให้ดินละเอียดเพื่อลดการสูญเสียน้ำให้มาก การปลูกต้องเลือกเวลาด้วยควรปลูกในช่วงเดือนธันวาคมเพื่อให้ออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถ้าปลูกช้ากว่านี้อาจจะมีปัญหาในการผลมเกสรทำให้ได้ผลผลิตที่ไม่ดี และความชื้นในดินมีน้อย ไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต
คุณโกมินทร์
เล่าว่าตลอดระยะเวลที่ปลูกไม่เคยให้น้ำ ไม่เคยดายหญ้า ไม่เคยให้ปุ๋ย
จากสภาพในปัจจุบันข้าวโพดเจริญเติบโตดีและติดฝักดี คาดว่าจะเก็บผลผลิตได้ไม่น้อยกว่า
700 กิโลกรัม
การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงฤดูแล้งก็สามารถให้ผลผลิตที่ดีได้ถ้ามีการจัดการที่ดีซึ่งจากการประสบผลสำเร็จในครั้งนี้
นายวาด
วานิช
เกษตรอำเภอพรานกระต่ายกล่าวว่าในปีหน้าจะนำมาเป็นทางเลือกให้เกษตรกรรายอื่นได้ปฏิบัติเพื่อกเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรต่อไป
ข้อมูลจาก https://www.gotoknow.org/posts/170835
การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา
การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนาสามารถทำได้หลังจากการเก็บเกี่ยว
ข้าวนาปีเสร็จสิ้น
ควรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม
ถ้าปลูกได้เร็วจะทำให้ต้นข้าวโพดมีการเจริญเติบโตดี และระยะออกดอกไม่ตรงกับช่วงอุณหภูมิสูงเนื่องจากในช่วงที่มีอุณหภูมิสูง อาจจะเป็นอันตรายต่อการผสมเกสร ถ้าหากปลูกล่าช้าในช่วงเก็บเกี่ยวอาจจะมีฝนตก ทำให้เมล็ดได้รับความเสียหายและคุณภาพไม่ดี พื้นที่ที่ใช้ปลูกควรจะมีแหล่งน้ำเพียงพอต่อการปลูก มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ห้วยน้ำ ลำคลอง หรือน้ำบาดาล ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ต่ำและระบายน้ำยาก เลือกเนื้อดินที่ระบายน้ำดี โดยเฉพาะดินร่วน ดินร่วนปนทราย และร่วนเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์ที่นิยมปลูกในภาคอีสาน ได้แก่พันธุ์ นครสวรรค์ 3 หรือพันธุ์ลูกผสมที่ผลิตโดยทางราชการหรือบริษัทเอกชน ซึ่งเทคนิคและวิธีการปลูกมีดังนี้
++ วิธีปลูกและการดูแลรักษา ++
1. เริ่มจากการไถพรวนดิน 1-2 ครั้ง พร้อมคราดดินเพื่อปรับพื้นที่ หรือถ้าหากในพื้นที่ที่ตอซังข้าวไม่สูงก็สามารถที่จะใช้รถไถนาเดินตาม ไถแหวกดินเพื่อทำร่องได้โดยที่ไม่ต้องพรวนดิน โดยการปลูกจะอาศัยความชื้นในดินที่หลงเหลืออยู่หลังเก็บเกี่ยวข้าว
2. ระยะการปลูก ควรปลูกเป็นแถว ระยะห่างระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น 20 เซนติเมตร จำนวน 1 ต้น/หลุม
3. ก่อนปลูกให้ใส่ปุ๋ยรองพื้นหรือรองก้นหลุม โดยใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยขี้ไก่ อัตรา 300 กิโลกรัม/ไร่ และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่
4. การใส่ปุ๋ยแต่งหน้า หลังปลูกได้ 1 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 15 กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 อัตรา 12 กิโลกรัม/ไร่ และหลังปลูกประมาณ 45 วัน ก่อนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกดอกและผสมเกสร ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 อัตรา 10 กิโลกรัม/ไร่ โดยโรยปุ๋ยข้างต้นแล้วกลบปุ๋ย และให้น้ำทันที
5. การให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และหยุดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 1 สัปดาห์ และควรหลีกเลี่ยงการขาดน้ำในระยะออกดอก ซึ่งจะทำให้ผลผลิตลดลงมาก
6. โรคและแมลงศัตรูของข้าวโพด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชที่ทนต่อโรคและแมลงได้ดี ในช่วงต้นอ่อนอาจจะมีตั๊กแตนหรือหนูกัดกินบ้าง แต่ต้นข้าวโพดก็ยังสามารถตั้งตัวได้
7. การเก็บเกี่ยว ควรเก็บเกี่ยวข้าวโพดเมื่อแก่จัดหรือครบอายุการเก็บเกี่ยว (อายุเก็บเกี่ยว 120 วัน) โดยการเก็บเฉพาะฝักแล้วนำมาตากแดดเพื่อลดความชื้น ก่อนนำมากะเทาะเมล็ดด้วยเครื่องกะเทาะเมล็ด หรืออาจจะเก็บฝักแล้วทำการกะเทาะเมล็ดด้วยเครื่องกะเทาะเมล็ด ก่อนที่จะนำมาตากแดดเพื่อลดความชื้นก็ได้ ซึ่งค่าความชื้นที่ตลาดต้องการคือ 14 % จะทำให้จำหน่ายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ราคาดี
** ข้อควรระวังในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา **
1. ควรปลูกให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนธันวาคม (ถ้าจะให้ดีควรปลูกให้เสร็จก่อนวันที่ 5 ธันวาคม) เพราะถ้าปลูกล่าช้ากว่านี้ในช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิตอาจจะมีฝนตก ทำให้เมล็ดได้รับความเสียหาย
2. อย่าให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขาดน้ำในช่วงออกดอก เพราะมีผลต่อการผสมเกสร อาจจะทำให้ผลผลิตลดลงมาก
3. หลีกเลี่ยงพื้นที่ต่ำ สภาพดินที่เป็นดินเหนียวถึงเหนียวจัด และดินกรดถึงกรดจัด
4. ควรมีแหล่งน้ำเพียงพอต่อการปลูก และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีความต้องการปุ๋ยไนโตรเจนสูง
เรียบเรียงโดย : อานนท์ ขันติวงษ์ เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.อุบลราชธานี
--------------------------------- ^ ^ ------------------------------
แหล่งอ้างอิง :
กิตติทัต แสนปลื้ม. เจ้าพนักงานการเกษตรกลุ่มวิชาการ. สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 4. สัมภาษณ์, 2 พฤศจิกายน 2555.
ถ้าปลูกได้เร็วจะทำให้ต้นข้าวโพดมีการเจริญเติบโตดี และระยะออกดอกไม่ตรงกับช่วงอุณหภูมิสูงเนื่องจากในช่วงที่มีอุณหภูมิสูง อาจจะเป็นอันตรายต่อการผสมเกสร ถ้าหากปลูกล่าช้าในช่วงเก็บเกี่ยวอาจจะมีฝนตก ทำให้เมล็ดได้รับความเสียหายและคุณภาพไม่ดี พื้นที่ที่ใช้ปลูกควรจะมีแหล่งน้ำเพียงพอต่อการปลูก มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ห้วยน้ำ ลำคลอง หรือน้ำบาดาล ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ต่ำและระบายน้ำยาก เลือกเนื้อดินที่ระบายน้ำดี โดยเฉพาะดินร่วน ดินร่วนปนทราย และร่วนเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์ที่นิยมปลูกในภาคอีสาน ได้แก่พันธุ์ นครสวรรค์ 3 หรือพันธุ์ลูกผสมที่ผลิตโดยทางราชการหรือบริษัทเอกชน ซึ่งเทคนิคและวิธีการปลูกมีดังนี้
++ วิธีปลูกและการดูแลรักษา ++
1. เริ่มจากการไถพรวนดิน 1-2 ครั้ง พร้อมคราดดินเพื่อปรับพื้นที่ หรือถ้าหากในพื้นที่ที่ตอซังข้าวไม่สูงก็สามารถที่จะใช้รถไถนาเดินตาม ไถแหวกดินเพื่อทำร่องได้โดยที่ไม่ต้องพรวนดิน โดยการปลูกจะอาศัยความชื้นในดินที่หลงเหลืออยู่หลังเก็บเกี่ยวข้าว
2. ระยะการปลูก ควรปลูกเป็นแถว ระยะห่างระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น 20 เซนติเมตร จำนวน 1 ต้น/หลุม
3. ก่อนปลูกให้ใส่ปุ๋ยรองพื้นหรือรองก้นหลุม โดยใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยขี้ไก่ อัตรา 300 กิโลกรัม/ไร่ และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่
4. การใส่ปุ๋ยแต่งหน้า หลังปลูกได้ 1 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 15 กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 อัตรา 12 กิโลกรัม/ไร่ และหลังปลูกประมาณ 45 วัน ก่อนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกดอกและผสมเกสร ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 อัตรา 10 กิโลกรัม/ไร่ โดยโรยปุ๋ยข้างต้นแล้วกลบปุ๋ย และให้น้ำทันที
5. การให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และหยุดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 1 สัปดาห์ และควรหลีกเลี่ยงการขาดน้ำในระยะออกดอก ซึ่งจะทำให้ผลผลิตลดลงมาก
6. โรคและแมลงศัตรูของข้าวโพด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชที่ทนต่อโรคและแมลงได้ดี ในช่วงต้นอ่อนอาจจะมีตั๊กแตนหรือหนูกัดกินบ้าง แต่ต้นข้าวโพดก็ยังสามารถตั้งตัวได้
7. การเก็บเกี่ยว ควรเก็บเกี่ยวข้าวโพดเมื่อแก่จัดหรือครบอายุการเก็บเกี่ยว (อายุเก็บเกี่ยว 120 วัน) โดยการเก็บเฉพาะฝักแล้วนำมาตากแดดเพื่อลดความชื้น ก่อนนำมากะเทาะเมล็ดด้วยเครื่องกะเทาะเมล็ด หรืออาจจะเก็บฝักแล้วทำการกะเทาะเมล็ดด้วยเครื่องกะเทาะเมล็ด ก่อนที่จะนำมาตากแดดเพื่อลดความชื้นก็ได้ ซึ่งค่าความชื้นที่ตลาดต้องการคือ 14 % จะทำให้จำหน่ายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ราคาดี
** ข้อควรระวังในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา **
1. ควรปลูกให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนธันวาคม (ถ้าจะให้ดีควรปลูกให้เสร็จก่อนวันที่ 5 ธันวาคม) เพราะถ้าปลูกล่าช้ากว่านี้ในช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิตอาจจะมีฝนตก ทำให้เมล็ดได้รับความเสียหาย
2. อย่าให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขาดน้ำในช่วงออกดอก เพราะมีผลต่อการผสมเกสร อาจจะทำให้ผลผลิตลดลงมาก
3. หลีกเลี่ยงพื้นที่ต่ำ สภาพดินที่เป็นดินเหนียวถึงเหนียวจัด และดินกรดถึงกรดจัด
4. ควรมีแหล่งน้ำเพียงพอต่อการปลูก และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีความต้องการปุ๋ยไนโตรเจนสูง
เรียบเรียงโดย : อานนท์ ขันติวงษ์ เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.อุบลราชธานี
--------------------------------- ^ ^ ------------------------------
แหล่งอ้างอิง :
กิตติทัต แสนปลื้ม. เจ้าพนักงานการเกษตรกลุ่มวิชาการ. สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 4. สัมภาษณ์, 2 พฤศจิกายน 2555.
ภาวะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT: ข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวลง 4.25 เซนต์ หรือ 1.11%
ภาวะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT เมื่อคืนนี้ (17 พ.ย.)
สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรปิดตลาดในทิศทางแตกต่างกัน
โดยราคาข้าวโพดและข้าวสาลีปรับตัวลง ขณะที่ราคาถั่วเหลืองเพิ่มสูงขึ้น
สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวลง 4.25 เซนต์ หรือ 1.11% ปิดที่ 3.775 ดอลลาร์/บุชเชล
สัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนม.ค.ปรับตัวขึ้น 13.75 เซนต์ หรือ 1.34% ปิดที่ 10.3625 ดอลลาร์/บุชเชล
สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 8.75 เซนต์ หรือ 1.56% ปิดที่ 5.5175 ดอลลาร์/บุชเชล
นักวิเคราะห์ระบุว่า สัญญาถั่วเหลืองปรับตัวสูงขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากข้อมูลการส่งออกและปริมาณ ผลผลิตแปรรูปที่ดีขึ้น ขณะที่สัญญาข้าวโพดและข้าวสาลีปรับตัวลงตัวเลขการส่งออกน้อยลง
กระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) เปิดเผยว่า ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 พ.ย. ปริมาณการส่งออกถั่วเหลืองสหรัฐพุ่งขึ้น 25% ทำสถิติใหม่ที่ 3.113 ล้านตัน ขณะที่สมาคมผู้แปรรูปเมล็ดน้ำมันแห่งชาติสหรัฐ (NOPA) ผลผลิตถั่วเหลืองแปรรูปของสหรัฐในเดือนต.ค.ทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 157.960 ล้านตัน
ส่วนปริมาณการส่งออกข้าวโพดลดลง 24% และข้าวสาลีร่วงลง 54% จากสัปดาห์ที่แล้ว สำนักข่าวซินหัวรายงาน
ข่าวจาก RYT9.com
สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวลง 4.25 เซนต์ หรือ 1.11% ปิดที่ 3.775 ดอลลาร์/บุชเชล
สัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนม.ค.ปรับตัวขึ้น 13.75 เซนต์ หรือ 1.34% ปิดที่ 10.3625 ดอลลาร์/บุชเชล
สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 8.75 เซนต์ หรือ 1.56% ปิดที่ 5.5175 ดอลลาร์/บุชเชล
นักวิเคราะห์ระบุว่า สัญญาถั่วเหลืองปรับตัวสูงขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากข้อมูลการส่งออกและปริมาณ ผลผลิตแปรรูปที่ดีขึ้น ขณะที่สัญญาข้าวโพดและข้าวสาลีปรับตัวลงตัวเลขการส่งออกน้อยลง
กระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) เปิดเผยว่า ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 พ.ย. ปริมาณการส่งออกถั่วเหลืองสหรัฐพุ่งขึ้น 25% ทำสถิติใหม่ที่ 3.113 ล้านตัน ขณะที่สมาคมผู้แปรรูปเมล็ดน้ำมันแห่งชาติสหรัฐ (NOPA) ผลผลิตถั่วเหลืองแปรรูปของสหรัฐในเดือนต.ค.ทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 157.960 ล้านตัน
ส่วนปริมาณการส่งออกข้าวโพดลดลง 24% และข้าวสาลีร่วงลง 54% จากสัปดาห์ที่แล้ว สำนักข่าวซินหัวรายงาน
ข่าวจาก RYT9.com
วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ข้าวโพด พืชที่เหมาะกับฤดูแล้ง
ข้าวโพดเหมาะกับหน้าแล้งสามารถปลูกทดแทนข้าวนาปรังได้เป็นอย่างดี
เพราะใช้น้ำเพียง 800 คิวต่อไร่ต่อฤดูการปลูก ในขณะที่ข้าวต้องใช้น้ำถึง
1,200 คิว”
แต่ให้ได้ผลดี ดร.โชคชัย เอกทัศนาวรรณ ผอ.ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ สถาบันอินทรีย์จันทรสถิตย์และพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แนะให้ดูสภาพดิน หากเป็นดินนาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นดินเหนียว ต้องยกเป็นร่องขึ้นมา เพราะข้าวโพดไม่ชอบน้ำขัง รากจะหายใจไม่ออก
เมื่อไถพรวนเสร็จแล้ว ควรปลูกระยะห่าง 20-25 ซม. ลึก 4 ซม.ในอัตรา 8,533 ต้นต่อไร่ หากเป็นดินเหนียวให้เอาน้ำออก แต่ถ้าดินร่วนให้น้ำได้อีก 4-5 วัน...จากนั้นให้ฉีดยาคุมวัชพืช จำพวกอาทราซีน
แต่ฤดูถัดไป ต้องปลูกถั่วปรับปรุงดิน ให้ใช้ยากลุ่ม “อะลาคลอร์” เพราะอาทราซีนจะทำให้ถั่วตาย
ปลูก ได้ 10-14 วัน ข้าวโพดงอกมา 1 คืบ ใช้ปุ๋ยรองพื้น 16-20-0 หยอดใส่ 1 ฝาเบียร์ต่อต้น หรือ 50 กก.ต่อไร่ เมื่อได้ 25-30 วัน ใส่ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 ในอัตรา 25 กก.ต่อไร่...กระทั่ง 55 วัน ข้าวโพดจะออกดอกให้ผลผลิต สามารถเก็บเกี่ยวได้ในเวลาไม่เกิน 110 วัน
ดร.โชคชัย บอกอีกว่า ปัจจัยที่จะทำให้ข้าวโพดให้ผลดี อยู่ที่ความชื้นอากาศสัมพัทธ์ 30% อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 15 ํC เพราะต่ำกว่า 10 ํC เมล็ดจะไม่งอก ต้นกล้าโตช้า
ส่วนการปลูกที่ให้ได้ราคาดี จะต้องเริ่มในเดือน พ.ค. เพื่อผลผลิตจะได้ออกมาในเดือน ก.ค.-ส.ค. เนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศเหมาะสม ผลผลิตในตลาดมีน้อย เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่นิยมปลูกกัน และสายพันธุ์ที่ถือว่าดีที่สุดในขณะนี้ “สุวรรณ 4452” ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,200-1,500 กิโลกรัมต่อไร่ ทนโรคทนแมลง
และสิ่งที่เกษตรกรควรท่องจำ ให้ขึ้นใจ...หากฝนแรกมาให้ลงถั่วเขียว และฝนเดือนหกลงข้าวโพด ก่อนเก็บเกี่ยวให้หว่านถั่วแปบ ตัดข้าวโพดสูงกว่าฝัก 1 ข้อเอาไปใช้เลี้ยงสัตว์ รอให้ฝักข้าวโพดแห้งคาต้น เมื่อแห้งได้ที่เก็บฝัก ถั่วแปบโตพอดี เก็บฝักถั่วเสร็จไถกลบต้นข้าวโพดและถั่วแปบเป็นปุ๋ยพืชสด
เพราะทั้งต้นทั้งรากถั่วแปบ มีสารมีเอนไซม์และกรดอะมิโนหลายชนิด ที่เหมาะแก่การบำรุงดินเพื่อปลูกข้าวโพดเป็นที่สุด.
ข้อมูลจาก ไทยรัฐ
แต่ให้ได้ผลดี ดร.โชคชัย เอกทัศนาวรรณ ผอ.ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ สถาบันอินทรีย์จันทรสถิตย์และพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แนะให้ดูสภาพดิน หากเป็นดินนาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นดินเหนียว ต้องยกเป็นร่องขึ้นมา เพราะข้าวโพดไม่ชอบน้ำขัง รากจะหายใจไม่ออก
เมื่อไถพรวนเสร็จแล้ว ควรปลูกระยะห่าง 20-25 ซม. ลึก 4 ซม.ในอัตรา 8,533 ต้นต่อไร่ หากเป็นดินเหนียวให้เอาน้ำออก แต่ถ้าดินร่วนให้น้ำได้อีก 4-5 วัน...จากนั้นให้ฉีดยาคุมวัชพืช จำพวกอาทราซีน
แต่ฤดูถัดไป ต้องปลูกถั่วปรับปรุงดิน ให้ใช้ยากลุ่ม “อะลาคลอร์” เพราะอาทราซีนจะทำให้ถั่วตาย
ปลูก ได้ 10-14 วัน ข้าวโพดงอกมา 1 คืบ ใช้ปุ๋ยรองพื้น 16-20-0 หยอดใส่ 1 ฝาเบียร์ต่อต้น หรือ 50 กก.ต่อไร่ เมื่อได้ 25-30 วัน ใส่ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 ในอัตรา 25 กก.ต่อไร่...กระทั่ง 55 วัน ข้าวโพดจะออกดอกให้ผลผลิต สามารถเก็บเกี่ยวได้ในเวลาไม่เกิน 110 วัน
ดร.โชคชัย บอกอีกว่า ปัจจัยที่จะทำให้ข้าวโพดให้ผลดี อยู่ที่ความชื้นอากาศสัมพัทธ์ 30% อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 15 ํC เพราะต่ำกว่า 10 ํC เมล็ดจะไม่งอก ต้นกล้าโตช้า
ส่วนการปลูกที่ให้ได้ราคาดี จะต้องเริ่มในเดือน พ.ค. เพื่อผลผลิตจะได้ออกมาในเดือน ก.ค.-ส.ค. เนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศเหมาะสม ผลผลิตในตลาดมีน้อย เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่นิยมปลูกกัน และสายพันธุ์ที่ถือว่าดีที่สุดในขณะนี้ “สุวรรณ 4452” ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,200-1,500 กิโลกรัมต่อไร่ ทนโรคทนแมลง
และสิ่งที่เกษตรกรควรท่องจำ ให้ขึ้นใจ...หากฝนแรกมาให้ลงถั่วเขียว และฝนเดือนหกลงข้าวโพด ก่อนเก็บเกี่ยวให้หว่านถั่วแปบ ตัดข้าวโพดสูงกว่าฝัก 1 ข้อเอาไปใช้เลี้ยงสัตว์ รอให้ฝักข้าวโพดแห้งคาต้น เมื่อแห้งได้ที่เก็บฝัก ถั่วแปบโตพอดี เก็บฝักถั่วเสร็จไถกลบต้นข้าวโพดและถั่วแปบเป็นปุ๋ยพืชสด
เพราะทั้งต้นทั้งรากถั่วแปบ มีสารมีเอนไซม์และกรดอะมิโนหลายชนิด ที่เหมาะแก่การบำรุงดินเพื่อปลูกข้าวโพดเป็นที่สุด.
ข้อมูลจาก ไทยรัฐ
วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ปริมาณการใช้น้ำของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ไสว
วงศ์วุฒิสาโรช
ข้าวโพด
ข้าวโพดเป็นธัญพืชสำคัญอย่างหนึ่งของโลก
รองจากข้าวเจ้าและข้าวสาลีนับเป็นพืช
อาหารหลักที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง ในต่างประเทศ เช่น ประเทศแม็กซิโก อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี เป็นต้น ประชาชน
รับประทานข้าวโพดเป็นอาหารประจำวันในรูปต่าง ๆ กัน
นอกจากใช้เป็นอาหารมนุษย์และสัตว์โดยตรงแล้วเมล็ดข้าวโพดและส่วนอื่น ๆ
เช่น ต้น ใบและซัง ยังใช้ประโยชน์ในอุต-สาหกรรมได้หลายชนิด เมล็ดอาจนำมาสกัดน้ำมัน น้ำตาล และทำแป้ง น้ำตาล ที่สกัดจากเมล็ดใช้ทำสารเคมี วัตถุระเบิด สีย้อมผ้า แป้ง ใช้ทำสบู่ หมึกกาว น้ำมัน นอกจากใช้รับประทานแล้ว ยังใช้ทำสีทาบ้าน ยาขัดเงา ลำต้นและใบ ใช้ทำกระดาษ กระดาษอัด
ซังใช้ทำจุกขวดกล้องยาสูบและเชื้อเพลิง ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่สำคัญ ๆ
ซึ่งใช้ข้าวโพดเป็นส่วนประกอบ
มีประมาณกว่า 500 ชนิด
สำหรับในประเทศไทย
ข้าวโพดที่ผลิตได้เกือบทั้งหมดส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ
การใช้ข้าวโพดเป็นอาหารสัตว์และอาหารมนุษย์มีน้อย
ประเทศไทยมีการปลูกข้าวโพดมาช้านานแต่ปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพิ่งจะเริ่มปลูกกันอย่างจริงจังเมื่อสี่สิบ – ห้าสิบกว่าปีมานี้เอง
และปริมาณการผลิตได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี พ.ศ.
2472 ผลผลิตทั้งประเทศมีเพียง
3.73 ตัน แต่ในปี พ.ศ.2518 เพิ่มขึ้นเป็น 4.05
ล้านตัน
ทั้งนี้เนื่องจากตลาดต่างประเทศต้องการมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงค์โปร์ มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
จนในปี 2518 คิดเป็นมูลค่าส่งออก 5,678 ล้านบาท ในปัจจุบัน
ข้าวโพดได้เลื่อนอันดับจากพืชที่ไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเลยมาเป็น
พืชที่มีความสำคัญใกล้เคียงกับข้าวเจ้าและยางพาราซึ่งเป็นสินค้าออกที่สำคัญ
เก่าแก่ของประเทศไทยมาช้านาน
ประวัติและถิ่นฐานดั้งเดิมของข้าวโพด
พันธุ์ข้าวโพดที่ใช้ปลูกในปัจจุบันนี้
เป็นพืชที่ไม่สามารถขึ้นเองได้ถ้ามนุษย์ไม่ให้การปฏิบัติรักษาเท่าที่ควร
ไม่มีใครทราบเกี่ยวกับรากฐานดั้งเดิมว่า
พืชนี้เปลี่ยนจากพืชป่ามาเป็นพืชเลี้ยงเมื่อใด แต่คงเป็นเวลานับพัน ๆ ปีมาแล้ว
นักภูมิศาสตร์และนักโบราณคดีหลายท่านสันนิษฐานว่ามนุษย์มีปลูกข้าวโพดกันมากกว่า
4500 ปี
และในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและถิ่นฐานดั้งเดิมของข้าวโพดนั้นในปัจจุบันนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด
ถึงแม้ว่าได้มีนักค้นคว้าหลายท่านได้ทำการศึกษาและให้ข้อสันนิษฐานต่าง ๆ
มานานแต่ก็ยังมีเหตุผลหลายประการที่ขัดแย้งกันอยู่
บางท่านสันนิษฐานว่าข้าวโพดอาจมีถิ่นฐานในแถวที่ราบสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศเปรู โบลิเวีย และ เอกวาดอร์ ในทวีปอเมริกาใต้
เนื่องจากมีผู้พบข้าวโพดพันธุ์พื้นเมืองหลายพันธุ์มีความปรวนแปรในฐานกรรมพันธุ์และมีลักษณะต่าง
ๆ ผิดแผกกันมาก
นอกจากข้าวโพดบางชนิดที่มีลักษณะคล้ายข้าวโพดป่ายังพบขึ้นในแถบอื่นอีกด้วย แต่บางท่านก็ให้ข้อคิดว่า
ในแถบอเมริกากลางและตอนใต้ของประเทศเม็กซิโกน่าจะเป็นแหล่งกำเนิดข้าวโพดมากกว่าเพราะมีหญ้าพื้นเมืองของบริเวณนี้ 2 ชนิด คือ หญ้าทริบซาคัม (Tripsacum) และหญ้าทิโอซินเต (Teosinte) ซึ่งมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์หลายประการคล้ายคลึงกับข้าวโพดมาก
นอกจากนี้ยังมีนักโบราณคดีได้ขุดพบซากซังของข้าวโพดซ้อนกันอยู่กับซากของโบราณวัตถุต่าง
ๆ ซึ่งฝังอยู่ใต้ดินลึกถึง 28
เมตร
ในบริเวณเมืองหลวงของประเทศเม็กซิโกในบริเวณถ้ำและสุสานหลายแห่งในบริเวณดินแดนดังกล่าว
การพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ทำให้ทราบว่าซากสิ่งของเหล่านี้มีอายุนานกว่า
4000 ปีซึ่งแสดงว่ามีข้าวโพดปลูกอยู่ในแถบนี้เป็นเวลานานนับพันปีมาแล้ว
นอกจากนี้บางท่านได้ให้ความเห็นอีกว่า
ข้าวโพดบางชนิดอาจมีรากฐานอยู่ในเอเซียก็ได้
เพราะพืชพื้นเมืองหลายอย่างในแถบนี้มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์คล้ายข้าวโพดมาก เช่น ลูกเดือย และอ้อน้ำ เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นข้อสันนิษฐานและเหตุผลของแต่ละท่าน ยังไม่มีประจักษ์พยานยืนยันแน่ชัด
คงจะต้องถกเถียงและค้นคว้าหาความจริงกันต่อไปอีก
ชนิดของข้าวโพด
ข้าวโพดอาจจำแนกออกได้เป็น 2 แบบคือ
ก.
การจำแนกทางพฤกษศาสตร์
การจำแนกแบบนี้ถือเอาลักษณะของแป้งและเปลือกหุ้มเมล็ดเป็นหลัก จำแนก ออกเป็น 7 ชนิดคือ
1. ข้าวโพดหัวบุบ (Dent
corn) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซี
เมย์ส อินเดนตาตา Zea mays indentata เมล็ดตอนบนมีรอยบุ๋มเนื่องจากตอนบนมีแป้งอ่อนและตอนข้าง ๆ
เป็นแป้งชนิดแข็ง
เมื่อตากเมล็ดให้แห้ง
แป้งอ่อนจะยุบหดตัวลงจึงเกิดลักษณะหัวบุบ ดังกล่าว ขนาดของลำต้น ความสูงเหมือนข้าวโพด ไร่ทั่ว ๆ ไป สีของเมล็ดอาจเป็นสีขาว สีเหลือง หรือสีอื่น ๆ แล้วแต่พันธุ์ นิยมปลูกกันมากในสหรัฐอเมริกา
2.
ข้าวโพดหัวแข็ง
(Flint corn) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า ซี เมย์ส อินดูราตา Zea mays
indurata เมล็ดมีแป้งแข็งห่อหุ้มโดยรอบ หัวเรียบไม่บุบ เมล็ดค่อนข้างกลม มีปลูกกันมากในเอเซียและอเมริกาใต้ ข้าวโพดไร่ของไทยที่นิยม
ปลูกกันอยู่เป็นชนิดหัวแข็งนี้ทั้งสิ้น สีของเมล็ดอาจเป็นสีขาว สีเหลือง สีม่วง หรือสีอื่น
แล้วแต่ชนิดของพันธุ์
3.
ข้าวโพดหวาน
(Sweet corn) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซี
เมย์ส แซคคาราตา Zea mays
saccharata
ปลูกแพร่หลายเพื่อรับประทานฝักสด เพราะมีรสหวานจากมีน้ำตาลมาก
เมื่อแก่เต็มที่หรือแห้งเมล็ดจะหดตัวเหี่ยว
เนื่องจากน้ำตาลไม่สามารถเปลี่ยนเป็นแป้งได้
4. ข้าวโพดคั่ว (Pop
corn) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซี เมย์ส อีเวอร์ตา Zea mays everta เมล็ดมีขนาดค่อนข้างเล็ก
มีแป้งประเภทแข็งอยู่ภายใน
ภายนอกห่อหุ้มด้วยผิวเหนียวและยืดตัวได้ เมล็ดมีความชื้นภายในอยู่พอสมควร
ถูกความร้อนจะเกิดแรงดันภายในเมล็ดระเบิดตัวออกมาอาจมีลักษณะกลมหรือหัวแหลมก็ได้มีสีต่าง
ๆ กัน เช่น เหลือง ขาว ม่วง เป็นต้น
5. ข้าวโพดข้าวเหนียว
(Waxy corn) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซี
เมย์ส เซอราตินา Zea mays
ceratina แป้งอ่อนคล้ายแป้งมันสำปะหลัง
นิยมปลูกเพื่อรับประทานฝักดูคล้ายข้าวโพดหวาน
แม้จะไม่หวานมากแต่เมล็ดนิ่มรสอร่อยไม่ติดฟัน เมล็ดมีสีต่าง ๆ กัน เช่น เหลือง ขาว ส้ม ม่วง หรือ หลายสีในฝักเดียวกัน (ปัจจุบันมีข้าวโพดหวาน
2
สี ขายฝักละ 5 – 20
บาท)
6. ข้าวโพดแป้ง (Flour
corn) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซี
เมย์ส อมิโลเซีย Zea mays
amylocea เมล็ดประกอบด้วยแป้งชนิดอ่อนมาก
เมล็ดค่อนข้างกลม
หัวไม่บุบ
หรือบุบเล็กน้อย
นิยมปลูกในอเมริกาใต้
อเมริกากลาง
และสหรัฐอเมริกา
ชาวอินเดียนแดงนิยมปลูกไว้รับประทานเป็นอาหาร
7. ข้าวโพดป่า (Pod
corn) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซี เมย์ส ทูนิกา Zea mays tunica
มีลักษณะใกล้เคียงข้าวโพดพันธุ์ป่ามีลำต้นเล็กฝักเล็กกว่าข้าวโพดธรรมดา เมล็ดขนาดค่อนข้างเล็กเท่า ๆ
กับเมล็ดข้าวโพดคั่วมีเปลือกหุ้มทุกเมล็ด
และยังมีเปลือกหุ้มฝัก
(Husk) อีกชั้นหนึ่งเหมือนข้าวโพดธรรมดาทั่ว ๆ ไป เมล็ดมีลักษณะต่าง ๆ กัน
ข้าวโพดชนิดนี้ไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
ปลูกไว้เพื่อการศึกษาเท่านั้น
ข.
การจำแนกตามวัตถุประสงค์ของการปลูก
อาจจำแนกออกได้เป็น
4 ชนิด คือ
1.
ข้าวโพดใช้เมล็ด
(Grain corn) ปลูกเพื่อเก็บเมล็ดแก่ใช้เป็นอาหารสัตว์ และมนุษย์ หรือทำอุตสาหกรรม เมล็ดพันธุ์ (Seed)
2.
ข้าวโพดหมัก (Silage corn)
ปลูกเพื่อตัดต้นสดมาหมักใช้เป็นอาหารสัตว์
3.
ข้าวโพดอาหารสัตว์
(Fodder corn) ปลูกเพื่อตัดทั้งต้นสดไปใช้เลี้ยงสัตว์
4.
ข้าวโพดฝักอ่อน
(Baby corn) ในประเทศไทยนิยมปลูกเพื่อเก็บฝักอ่อนไปใช้ในการปรุงอาหารและอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง
พันธุ์ข้าวโพดที่ปลูกเพื่อวัตถุประสงค์แต่ละอย่าง มีลักษณะไม่เหมือนกัน พวกปลูกเพื่อใช้
เมล็ดต้องใช้พันธุ์ที่มีผลผลิตของเมล็ดสูง แต่พวกที่ปลูกเพื่อตัดต้นสดไปหมัก
หรือให้สัตว์กินโดยตรงมักจะใช้พันธุ์ที่มีลำต้นสูงหรือพันธุ์ที่มีการแตกกอมากเพื่อจะได้ปริมาณต้นและใบมาก
ส่วนข้าวโพดฝักอ่อนนั้นนิยมใช้พันธุ์ที่มีหลายฝักต่อต้น เช่นข้าวโพดหวาน หรือ พันธุ์ข้าวโพดฝักอ่อนโดยเฉพาะ เป็นต้น
ข้าวโพด (corn หรือ maize) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ Zea mays L. เป็นพืชไร่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจพืชชนิดหนึ่ง
สามารถทำรายได้ให้กับประเทศคิดเป็นมูลค่าปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท มีพื้นที่ปลูกปีละประมาณ 8 – 9 ล้านไร่ผลผลิตข้าวโพดที่ผลิตได้นอกจากจะใช้ในประเทศแล้ว
ส่วนที่เกินความต้องการยังสามารถส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย
อย่างไรก็ตามความต้องการข้าวโพดของประเทศไทยนับวันจะเพิ่มขึ้น
เนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ คาดคะเนว่าจะต้องใช้ข้าวโพดประมาณ 3.5 ล้านตัน สำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์
แต่ประเทศไทยผลิตข้าวโพดได้ประมาณปีละ 4 ล้านตัน เท่านั้น
ทำให้การส่งออกข้าวโพดไปจำหน่ายยังต่างประเทศลดน้อยลงทุกปี
ในบางปีต้องมีการนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศ จากข้อตกลงขององค์การค้าโลก ประเทศไทยจะต้องนำข้าวโพดอย่างน้อยปีละ
52,000 เมตริกตัน
แหล่งผลิตข้าวโพดที่สำคัญ
อยู่ในภาคเหนือซึ่งมีพื้นที่ปลูกประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ปลูกทั้งประเทศ รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ตามลำดับ จังหวัดที่ปลูกข้าวโพดมากได้แก่ เพชรบูรณ์ นครราชสีมา เลย ลพบุรี นครสวรรค์
และปราจีนบุรี
ผลผลิตเฉลี่ยทั้งประเทศประมาณ 470 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น
การเพิ่มผลผลิตโดยการเพิ่มหรือขยายพื้นที่ปลูกนั้นคงไม่สามารถทำได้อีกแล้ว
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพยายามเพิ่มผลผลิตต่อไร่หรือขยายพื้นที่ปลูกไปในเขตโครงการชลประทานที่มีศักยภาพ
ข้าวโพดเป็นธัญพืชที่มีความสำคัญยิ่งของโลก ผลผลิตเฉลี่ยของข้าวโพด 2.78 ตันต่อเฮกแตร์ หรือ 444.80 กิโลกรัมต่อไร่
2.
ฤดูปลูกพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
2.1
ต้นฤดูฝน เดือนเมษายน – มิถุนายน
การปลูกในฤดูนี้เสี่ยงต่อฝนทิ้งช่วงในเดือน
มิถุนายน – กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าวโพดกำลังออกดอก
ถ้าฝนไม่ทิ้งช่วงข้าวโพดจะให้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกในปลายฤดูฝนประมาณร้อยละ 20 เนื่องจากมีช่วงแสงสว่างยาวนานกว่า แต่มีปัญหาที่ต้องเก็บในช่วงเดือนสิงหาคม
–กันยายน
ซึ่งมีฝนตก
ทำให้เก็บเกี่ยวลำบาก
และเสี่ยงต่อการที่เชื้อรา
แอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส (Aspergillus Flavus) จะเข้าทำลายเนื่องจากความชื้นสูง
2.2
ปลายฤดูฝน เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม
การปลูกในฤดูนี้เสี่ยงต่อฝนทิ้งช่วง
น้อยมาก
แต่อาจมีปัญหาโรคระบาดมากกว่าปลูกในต้นฤดูฝน และต้นข้าวโพดอ่อนค่อนข้างสูง
เมื่อมีฝนตกหนักและลมพัดแรงทำให้ต้นหักล้มง่าย
แต่ฝักข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวได้จะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน
เพราะมีฝนตกน้อยและกำลังเข้าสู่ฤดูแล้งทำให้มีฝักหรือ
เมล็ดข้าวโพดมีคุณภาพดีปลอดภัย จากเชื้อรา
แอสเปอร์จิลลัส
ฟลาวัส
2.3
ฤดูแล้ง เดือนพฤศจิกายน – มกราคม
การปลูกในฤดูนี้ส่วนใหญ่เป็นการปลูก
หลังนาปี
ในพื้นที่ที่สามารถให้น้ำชลประทานได้
ข้าวโพดใช้น้ำน้อยกว่านาปรังประมาณครึ่งหนึ่ง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้น้ำชลประทานสำหรับข้าวโพดเพียง 594.43 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่
ส่วนข้าวใช้น้ำ
1,172.40
ลูกบาศก์เมตรต่อไร่
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
ข้าวโพดเป็นพืชไร่ที่ค่อนข้างทนทาน ปลูกง่ายใช้น้ำน้อย ทนทาน
ขึ้นได้ดีในสภาพดินฟ้าอากาศของเมืองไทยอย่างไรก็ตามถ้าพื้นที่ใดมีน้ำเพียงพอจะสามารถปลูกข้าวโพดได้ตลอดปี
แต่ปัจจุบันเกษตรกรในเขตน้ำฝนจะนิยมปลูกกันในช่วงต้นฤดูฝน
คือระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมหรือช่วงปลายฤดูฝน ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม
การปลูกในช่วงต้นฤดูฝนจะได้รับผลดีกว่าปลูกปลายฤดูฝน เพราะจะมีปริมาณฝนพอเหมาะ แต่ในปี 2543 – 2544
เกิดภาวะฝนแล้งเนื่องจากสาเหตุ เอลนิโย
ทำให้ประเทศไทยผลิตข้าวโพดได้น้อยกว่าปกติ
อย่างไรก็ตามการปลูกข้าวโพดในช่วงต้นฤดูฝนมักจะประสบปัญหาความชื้นของเมล็ดข้าวโพดสูง
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเชื้อราอัลฟาท๊อกซิน
ส่วนการปลูกในช่วงปลายฤดูฝนจะมีปัญหาการเตรียมดิน
เพราะยังมีฝนตกอยู่ทำให้ดินอ่อนตัวไม่สะดวกในการเตรียมดินและยังอาจทำให้ต้นข้าวโพดที่กำลังงอกหรือต้นอ่อนเกิดโรคเน่าตายได้
พันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
แบ่งโดยวิธีการผลิตเมล็ดพันธุ์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 พวกใหญ่ คือ
1.
พันธุ์ลูกผสม (Hybrids)
2.
พันธุ์ผสมเปิด (Open pollinated variety) ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น
2 ชนิดคือ
2.1
พันธุ์ผสมรวม (Composite)
เป็นการรวมพันธุ์หรือสายพันธุ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยเอา
เมล็ดจำนวนเท่า ๆ
กัน
จากแต่ละพันธุ์หรือสายพันธุ์มารวมกันแล้วนำไปปลูกในแปลงอิสระห่างไกลจากแปลงข้าวโพดพันธุ์อื่น ปล่อยให้ผสมกันเองตามธรรมชาติ แล้วคัดต้นที่มีลักษณะเด่น
แล้วเก็บเมล็ดไว้ปลูกเป็นพันธุ์ต่อไป
2.2
พันธุ์สังเคราะห์
(Synthetics) เป็นพันธุ์ที่ได้จากการรวมสายพันธุ์ที่ได้จากการทดสอบ
การรวมตัว
(Combining ability) มาแล้ว
วิธีการรวมสายพันธุ์อาจทำได้เช่นเดียวกับพันธุ์ผสมรวม
เมล็ดพันธุ์ (Seed)
ตามความหมายทางพฤกษศาสตร์
คือ mature embryo
เมล็ดพันธุ์
หรือ
Seed เป็นสิ่งมีชีวิต (Viable) ซึ่งเป็นลักษณะที่สำคัญที่สุดและแตกต่างจากเมล็ดที่ใช้สำหรับบริโภค ซึ่งมักเรียกว่า “Grain” เมล็ดพันธุ์ที่ดีจะต้องมีเปอร์เซนต์ความงอกสูงและลักษณะตรงตามสายพันธุ์
อย่างไรก็ตามพันธุ์ของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังได้รับการพัฒนาจากหน่วยงานของรัฐและ
ภาคเอกชนแล้วนำไปส่งเสริมเผยแพร่สู่เกษตรกรก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง เช่น
1.
พันธุ์นครสวรรค์
1 (Nokorn Sawan
1) พัฒนาโดยศูนย์วิจัยพืชไร่
นครสวรรค์
กรมวิชาการเกษตรเป็นพันธุ์ลูกผสมเปิด ได้รับการรับรองพันธุ์ โดยกรมวิชาการเกษตรเมื่อ พ.ศ. 2532 มีอายุเก็บเกี่ยว 100 – 110 วัน ผลผลิต 500 – 800
กิโลกรัมต่อไร่ต้านทานโรคราน้ำค้างได้ดีเมล็ดหัวแข็ง สีส้ม
2.
พันธุ์สุวรรณ
2 (Suwan 2) ให้ผลผลิตต่ำกว่าพันธุ์สุวรรณ
1
เล็กน้อย
แต่
อายุการออกดอกเพียง 45 – 50 วัน อายุการเก็บเกี่ยว 90 – 100 วัน ต้นสูงประมาณ
2 เมตร
ความสูงฝักประมาณ
1
เมตร
3.
พันธุ์สุวรรณ
3 (Suwan 3) เป็นพันธุ์ผสมเปิด
ผลผลิต 600 – 800
กิโลกรัม
ต่อไร่
อายุการเก็บเกี่ยว 100 – 110 วัน
ต้านทานโรคราน้ำค้างได้ดีเมล็ดหัวแข็ง สีเหลืองส้ม
4. พันธุ์สุวรรณ 5 (Suwan 5) เป็นพันธุ์ผสมเปิดที่ให้ผลผลิตสูงที่สุดในบรรดาข้าว
โพดพันธุ์ผสมเปิดต้านทางโรคราน้ำค้างและโรคทางใบได้ดี ลำต้นสูงประมาณ 2.10 – 2.40 เมตร อายุการออกดอก 55 วัน อายุการเก็บเกี่ยว 110 – 120 วัน ผลผลิต 910-950 กิโลกรัมต่อไร่
พันธุ์นี้ยังเหมาะที่จะปลูกเพื่อตัดต้นสดไปเลี้ยงสัตว์ได้ เนื่องจากให้ผลผลิตต้นสดสูงและคุณภาพดี
5.
พันธุ์แปซิฟิก 328 เป็นพันธุ์ลูกผสมปิด
ให้ผลผลิตสูงสุดเมื่อเทียบกับพันธุ์แปซิฟิก 700, 626, 848 ลำต้นสูง 1.80 - 2.05 เมตร อายุการออกดอก 49วัน อายุการเก็บเกี่ยว 100 – 110 วัน ผลผลิต 900 – 1500
กิโลกรัมต่อไร่
6.
พันธุ์ไพโอเนีย
30A65
เป็นพันธุ์ลูกผสมเดี่ยว
ลำต้นสูง 180-230 ซม. การ
ออกดอกหัวข้าว 49-52 วัน อายุเก็บเกี่ยว 100-120 วัน ผลผลิต 1500-1800 กิโลกรัมต่อไร่
7.
พันธุ์ไพโอเนีย
30A97
เป็นพันธุ์ลูกผสมเดี่ยว
ความสูงของต้น
200-260 ซม. อายุการออกดอกหัว
49-52 วัน
อายุเก็บเกี่ยว
95-120 วัน
ผลผลิตสูงถึง
2000
กิโลกรัมต่อไร่
8. พันธุ์ไพโอเนีย
30-12
เป็นพันธุ์ลูกผสมเดี่ยว
ความสูงของต้น
180-200 ซม. อายุการออกดอกหัวข้าว
49 วัน
อายุเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม
100-105 วัน
ผลผลิตสูงสุด 120 ถัง หรือ1800 กิโลกรัมต่อไร่
การผลิตและการตลาดข้าวโพดในประเทศไทย ในบรรดาธัญพืชที่ใช้เลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดนับว่ามีความสำคัญที่สุด
เพราะปริมาณการผลิตและการค้าของประเทศไทยเกินกว่าครึ่งหนึ่งของพืชประเภทนี้
ข้าวโพดยังเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญในการผลิตอาหารสัตว์มีปริมาณการใช้สูงถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ของวัตถุดิบทั้งหมด
ในปัจจุบันประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3.5 ล้านตัน เพื่อผลิตอาหารสัตว์ปีละ 8.4 ล้านตัน หลังจากปี 2530 เป็นต้น
มาความต้องการข้าวโพดของตลาดภายในประเทศเพิ่มขี้นเป็นลำดับราคาข้าวโพดมีโอกาสที่จะสูงกว่าตลาดโลกในช่วงที่พ้นฤดูการเก็บเกี่ยว
จะเห็นได้ว่าข้าวโพดเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความเกี่ยวพันต่อการครองชีพหมวดอาหารโดยตรง
สร้างงานและสร้างอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกทั้งยังนำเงินตราเข้ามาจากต่างประเทศปีละหลาย
หมื่นล้านบาท
ตารางที่ 1 แสดงพื้นที่ปลูกข้าวโพดของประเทศไทย ปี
2520/21-2535/36
:พันไร่,พันตัน
ปี
|
พื้นที่ปลูก
|
ผลผลิต
|
ส่งออก |
ใช้ในประเทศ
|
ผลผลิตเฉลี่ย
(กก./ไร่)
|
2520/21
2521/22
2522/23
2523/24
2524/25
2525/26
2526/27
2527/28
2528/29
2529/30
2530/31
2531/32
2532/33
2533/34
2534/35
2535/36
|
7,534
8,661
9,527
8,960
9,796
10,494
10,552
11,355
12,377
12,194
10,941
11,471
11,165
10,910
9,219
8,502
|
1,677
2,791
2,863
2,998
3,449
3,002
3,552
4,226
4,934
4,309
2,781
4,675
4,393
3,722
3,793
3,610
|
1,270
2,146
2,105
2,085
3,125
2,117
2,653
2,842
3,493
2,713
753
1,559
1,115
1,225
1,224
0.129
|
470
645
758
913
324
885
756
1,149
1,204
1,388
1,948
3,116
3,278
2,497
3,000
3,100
|
223
322
353
357
377
368
363
389
412
380
328
419
411
385
411
425
|
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ตารางที่ 2
แสดงพื้นที่ปลูกข้าวโพดของประเทศไทยปี 2535/36 - 2544/45
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
: พื้นที่ปลูกผลผลิตต่อไร่
ผลผลิต
ปี
|
พื้นที่ปลูก
(ล้านไร่)
|
ผลผลิตต่อไร่
(กก./ไร่)
|
ผลผลิต
(ล้านตัน)
|
2535/36
2536/37
2537/38
2538/39
2539/40
2540/41
2541/42
2542/43
2543/44
2544/45
*
|
8.446
8.370
8.829
8.346
8.665
8.729
9.008
7.803
7.866
7.900
|
435
398
449
498
523
439
513
549
567
566
|
3.672
3.328
3.965
4.155
4.533
3.832
4.617
4.286
4.462
4.470
|
หมายเหตุ
: * คาดคะเนประจำเดือนธันวาคม
2544
ที่มา
:ศูนย์สารสนเทศการเกษตร
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ตารางที่ 3 แสดงผลการใช้ข้าวโพดของประเทศไทย ปี
2535/36 - 2544/45
ข้าวโพด
หน่วย : ล้านตัน
ปี
|
ใช้ในประเทศ
|
2535/36
2536/37
2537/38
2538/39
2539/40
2540/41
2541/42
2542/43
2543/44
2544/45
*
|
3.300
3.200
3.950
4.350
3.880
3.950
4.181
4.186
4.164
4.263
|
ที่มา
: กลุ่มวิจัยสินค้าที่ 3 ศูนย์สารสนเทศการเกษตร
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ตารางที่ 4 แสดงการนำเข้าข้าวโพดของประเทศไทย ปี
2535
หน่วย : ตัน
บริษัทนำเข้า
|
ปริมาณการนำเข้า
|
กรุงเทพโปรดิ๊วส์
กรุงเทพอบพืชและไซโล
ส.เจริญพรพาณิชย์
เบทาโกร
ผลิตภัณฑ์อาหารเซ็ลทรัล
S.W.S.
บางนา
ลีพัฒนา
แหลมทอง
วิคตอรี่ไซโล
ซิลลิค
S.K.S.
เหรียญทอง
ศิริผล
DAJO
|
172,350
47,144
41,359
24,485
23,406
20,191
20,100
20,099
17,000
13,030
11,639
10,000
7,150
3,300
2,625
|
รวม |
475,485
|
ที่มา
: สมาคมพ่อค้าข้าวโพดและพืชพันธุ์ไทย
3.
การดูแลรักษาข้าวโพด
ข้าวโพดเป็นพืชไร่ที่ปลูกง่ายและทนทานแต่การดูแลรักษาก็
เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น
การปลูกข้าวโพดจำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมดินที่ดีเช่นเดียวกับการปลูกพืชไร่อื่น
ๆ
โดยปกติจะทำการไถด้วยผานเจ็ด
ควรไถในขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่การปลูก ในที่นาต้องยกร่องแบบลูกฟูก ระหว่างร่องปลูกห่างกันประมาณ 75
เซนติเมตร
แล้วปลูกข้าวโพดบนสันร่องแถวเดียวหรือทำการยกร่องให้สันร่องกว้างประมาณ 150 เซ็นติเมตร แล้วปลูกเป็นแถวคู่ โดยให้ระยะระหว่างต้นห่างกันประมาณ 25-30 เซนติเมตร
การยกร่องปลูกนั้นจะช่วยให้สามารถให้น้ำแบบร่องคูทำให้การกระจายของน้ำในแปลงดีและรวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ร่องคูยังช่วยให้การระบายน้ำออกจากแปลงทำได้สะดวกและรวดเร็ว
ลดปัญหาน้ำท่วมขังที่จะทำให้ข้าวโพดตายเสียหายได้ สำหรับการบำรุงรักษาอื่น ๆ เช่น การใส่ปุ๋ย การป้องกันกำจัดโรคแมลง การเก็บเกี่ยว
ก็เช่นเดียวกันกับการปลูกข้าวโพดในพื้นที่สภาพไร่
การพิจารณาปลูกข้าวโพดในระบบการปลูกพืชพบว่าการปลูกพืช 2 ชนิดร่วมกัน คือ ข้าวโพดร่วมกับข้าวโพด หรือปลูกข้าวโพดร่วมกับพืชไร่อื่น ๆ
ซึ่งมักจะพบทั่วไปในพื้นที่ปลูกข้าวโพดของเกษตรกร
โดยเกษตรกรจะเริ่มปลูกข้าวโพดซึ่งเป็นพืชแรกประมาณเดือนเมษายน (สุขุม.
1990:12)
การเจริญเติบโตของข้าวโพด
เมล็ดข้าวโพดจัดเป็นพวกไม่มีระยะการฟักตัว (Seed dormancy)
เมื่อเมล็ดแก่
เก็บเกี่ยวแล้ว
สามารถนำไปปลูกได้เลย
เมื่อฝังเมล็ดลงไปในดิน
เมล็ดจะงอกโผล่พ้นผิวดิน
และใบแรกคลี่ออกให้เห็นภายในประมาณ 4 – 6 วัน
(ระยะที่ 1 – 2 ในภาพ) ต่อมาในระยะที่
3 จึงจะมีรากออกมาจากข้อแรก (Nodal roots) เพิ่มจากรากชั่วคราว (Primary roots Seminal roots) ที่มีอยู่แล้ว การเจริญเติบโตของราก ลำต้น ใบเป็นไปตามลำดับ จนกระทั่งถึงระยะที่ 7 จึงจะเริ่มเห็นช่อดอกตัวผู้
(Tassel) ซึ่งในระยะนี้ข้าวโพดไร่จะมีอายุประมาณ
50 – 55 วันหลังจากปลูก
การเจริญเติบโตในระยะนี้เข้าสู่ระยะการผสมพันธ์ (Reproductive Stage) เส้นไหม (Silk) ของดอกตัวเมียจะโผล่พ้นเปลือกหุ้ม
(Husk) ของฝัก
พร้อมที่จะรับละอองเกสรได้ภายในประมาณ 55 – 60 วันหลังจากปลูก
หลังจากได้รับการผสมเกสรแล้วรังไข่จะเจริญกลายเป็นเมล็ดอ่อนและเมล็ดแก่พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้ภายในประมาณ 45 วัน (ระยะที่ 9
ในภาพ) หลังการผสมเกสร
แสดงการเจริญเติบโตของข้าวโพด
ดอก
ข้าวโพดจัดเป็นพวกโมโนอิเชียส (Monoeious) คือมีดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่แยกในต้นเดียวกัน ช่อดอกตัวผู้ (Tessel) อยู่ตอนบนสุดของลำต้น ดอกตัวผู้ดอกหนึ่งจะมีอับเกสร
(Anther) 3 อับ แต่ละอับจะมีเรณูเกสร(Pollengrain)
ประมาณ
2500 เม็ด
ดังนั้นข้าวโพดต้นหนึ่งจึงมีเรณูเกสรอยู่เป็นจำนวนหลายล้าน และสามารถปลิวไปได้ไกลกว่า 2000
เมตร
ส่วนดอกตัวเมียอยู่รวมกันเป็นช่อ
เกิดขึ้นตอนข้อกลาง ๆ ลำต้น ต้นหนึ่งอาจมีหลายช่อแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ดอกตัวเมียแต่ละดอกประกอบด้วยรังไข่ (Ovary) และเส้นไหม
(Silk หรือ Style) ซึ่งมีความยาวประมาณ 5-15 เซนติเมตร
และยื่นปลายโผล่ออกไปรวมกันเป็นกระจุกอยู่ตรงปลายช่อดอกซึ่งมีเปลือกหุ้มอยู่
ดอกพวกนี้พร้อมที่จะผสมพันธุ์หรือรับละอองเกสรได้เมื่อเส้นไหมโผล่ออกมา หลังจากได้รับการผสมเส้นไหมจะแห้งเหี่ยว
และรังไข่เจริญเติบโตเป็นเมล็ด
ช่อดอกตัวเมียที่รับการผสมแล้วเรียกว่า ฝัก (Ear) แต่ละฝักอาจมีเมล็ดมากถึง
1000 เมล็ด
แกนกลางของฝักเรียกว่า
ซัง
(Cob)
ปกติดอกตัวผู้จะบานพร้อมที่จะผสมก่อนดอกตัวเมีย ดังนั้นจึงเป็นพืชที่ผสมข้ามพันธุ์ (Cross-pollination) ตามธรรมชาติมีการผสมตัวเอง
(Self-pollination)
เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พัฒนาการของเนื้อเยื่อพืชจะขึ้นอยู่กับช่วงการเจริญเติบโต
และเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะวิกฤติของสภาพแวดล้อม การขาดน้ำของข้าวโพดช่วงผสมเกสรเป็นช่วงวิกฤติของการผลิตข้าวโพด เพราะทำให้ผลผลิตลดลงมากที่สุด
นอกจากนี้ข้าวโพดยังเป็นพืชที่ออกดอกตรงส่วนยอดและมีเวลาออกดอกและผสมเกสรช่วงสั้น
ๆ
จึงเป็นช่วงที่วิกฤติต่อการให้ผลผลิต
ความต้องการน้ำของข้าวโพดในระยะการเจริญเติบโตต่าง ๆ
ไม่เท่ากัน
ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
ความแตกต่างของช่วงแสงและสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ตามปริมาณน้ำที่จะทำให้ได้ผลผลิตสูงสุดของข้าวโพด อยู่ระหว่าง 500 – 800
มิลลิเมตร
4. ความต้องการน้ำของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องการน้ำในระยะการเจริญเติบโตต่าง ๆ ไม่เท่ากัน ในระยะแรกต้องการน้ำไม่มากนักแต่จะค่อย ๆ
เพิ่มขึ้นตามอายุและต้องการน้ำสูงสุดในช่วงออกดอกและช่วงระยะแรกของการสร้างเมล็ด หลังจากนนั้นการใช้น้ำจะค่อยลดลง
ดังนั้นถ้าขาดน้ำในช่วงออกดอกและช่วงระยะแรกของการสร้างเมล็ด
จะทำให้ผลผลิตลดลงมากทั้งปริมาณและคุณภาพ
แบบของการให้น้ำโดยทั่วๆ ไปของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. การให้น้ำแบบร่องคู
(Furrow method) เป็นการให้น้ำทางผิวดิน
การชลประทานแบบนี้ให้น้ำโดยปล่อยให้น้ำไหลไปในคูขนาดเล็ก
และให้น้ำซึมเข้าไปในดินทางข้างและร่องคู คือทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง ซึ่งมีหลายวิธี คือ
1.1
การให้น้ำแบบร่องคูลาด (Graded Furrow method) โดยจะให้น้ำแก่พืชทางร่องที่มีขนาดเล็ก ซึ่งมีความลาดเทสม่ำเสมอและมีแนวตรง
การให้น้ำวิธีนี้สามารถให้ได้กับดินทุกชนิดยกเว้นดินทรายที่มีอัตราการซึมสูงมาก
เพราะว่าจะมีการไหลซึมทางด้านข้างน้อย
จะสูญเสียน้ำเนื่องจากไหลซึมเขตรากพืชมาก
พื้นที่ที่จะเลือกใช้การให้น้ำวิธีนี้ ควรมีความลาดเทไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์
1.2
การให้น้ำแบบร่องคูราบ (Level Furrow method) คล้ายกับวิธีที่ 1.1
แต่วิธีนี้ร่องที่ให้น้ำไหลนั้นไม่มีความลาดเหลืออยู่ในแนวราบ
ดังนั้นการให้น้ำจึงต้องให้ด้วยอัตราสูงน้ำจึงไหลไปตลอดความยาวของร่องคูในระยะเวลาอันสั้น
การให้น้ำด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับดินที่มีอัตราการซึมเฉลี่ยน้อยกว่า 50 ม.ม. ต่อชั่วโมง
และมีความสามารถเก็บน้ำได้ขนาดปานกลางจนเก็บน้ำได้ดี
1.3
การให้น้ำแบบร่องคูตามแนวเส้นขอบ (Control
Furrow method) คล้ายคลึงวิธีการที่
1.1 แต่ร่องตามแนวเส้นขอบของเนินนี้จะราบกว่าและทิศทางของร่องจะเกือบขนานไปกับเส้นขอบเนิน
ความลาดเทของร่องคูนั้นจะไม่มากนัก
คือมีเพียงเพื่อให้น้ำไหลไปยังปลายของร่องได้เท่านั้น วิธีนี้ใช้กับพื้นที่มีความลาดเททั่ว ๆ
ไป
ยกเว้นดินทรายหรือดินที่มีการแตกระแหง
เพราะร่องอาจจะพังทลายได้
2. การให้น้ำแบบฝนโปรย
(Sprinkler Method)
การให้น้ำแบบนนี้จะทำให้ลำต้นเปียกน้ำและทำ
ให้เกิดโรคกับส่วนของลำต้นได้ ซึ่งเป็นระบบที่ไม่เหมาะสมนัก
3. การให้น้ำแบบระบบหยด
(Drip Method) เป็นการให้น้ำในอัตราที่น้อยแต่บ่อยครั้งแต่ละครั้ง
เป็นเวลานาน
โดยระบบที่ใช้แรงดันน้อยและให้น้ำกับส่วนรากโดยตรง เป็นการประหยัดปุ๋ย ประหยัดแรงงาน รวมทั้งยาฆ่าแมลง ประหยัดน้ำ
เมื่อเราทราบค่าความต้องการน้ำของพืชในแต่ละช่วงแล้วสามารถคำนวณ
ปริมาณน้ำที่พืชต้องการในแต่ละช่วงและปล่อยน้ำเข้าสู่ระบบหยดได้ตามต้องการ
ข้อแนะนำการใช้น้ำสำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ตลอดอายุปลูกของข้าวโพด 110 – 120 วัน ต้องการน้ำรวมทั้งหมดประมาณ 350 – 450
มม. ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศในแต่ละท้องถิ่น ค่าสัมประสิทธิ์พืช (Kc) ซึ่งจะใช้คูณกับอัตราการคายน้ำรวมการระเหยตามสภาพภูมิอากาศ (Etp) หรือค่าสัมประสิทธิ์ของถาดวัดการระเหย (K’p) คูณกับการระเหยของถาดวัดการระเหยซึ่งมีสถิติทุกจังหวัดอยู่แล้ว
เพื่อหาความต้องการน้ำของพืชในช่วงการเจริญเติบโตต่าง ๆ
โดยมีตัวเลือกให้ใช้ตามตารางที่แนบ
แสดงค่าสัมประสิทธิ์พืชของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สัปดาห์ที่
|
ค่าสัมประสิทธิ์พืช (Crop Coefficient:; Kc)
|
|||||||
Modified Penman
|
Blaney -
Criddle
|
E -
pan
|
Thornthwaite
|
Hargreaves
|
Radiation
|
Penman-Monteith
| ||
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
|
0.50
0.57
0.68
0.89
1.12
1.26
1.33
1.35
1.34
1.30
1.20
1.00
0.77
0.58
|
0.67
0.80
0.93
1.12
1.39
1.56
1.70
1.81
1.80
1.71
1.62
1.31
1.04
0.79
|
0.62
0.74
0.98
1.05
1.24
1.46
1.52
1.77
1.55
1.56
1.22
1.07
0.66
0.61
|
0.53
0.48
0.50
1.03
1.48
1.77
1.55
1.43
1.42
1.07
1.07
1.06
0.63
0.71
|
0.67
0.67
0.69
1.10
1.37
1.56
1.49
1.53
1.52
1.20
1.25
1.13
0.74
0.68
|
0.58
0.71
0.85
0.99
1.29
1.45
1.57
1.63
1.61
1.66
1.54
1.26
1.07
0.72
|
0.63
0.72
0.86
1.13
1.35
1.52
1.61
1.63
1.58
1.50
1.38
1.15
0.90
0.67
| |
เฉลี่ย
|
0.99
|
1.31
|
1.14
|
1.03
|
1.13
|
1.20
|
1.19
| |
เอกสารอ้างอิง
1.
จวงจันทร์ ดวงพัตรา .2521.เทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ .คณะเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กรุงเทพฯ (105 หน้า)
2.
ณรงค์ศักดิ์ เสนาณรงค์. 2540 .
เอกสารวิชาการ
การปลูกพืชไร่. สถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการ
เกษตร โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว กรุงเทพฯ (287 หน้า)
3.
ดิเรก ทองอร่าม. 2529. ความต้องการน้ำของพืชและค่าชลภาระในการออกแบบระบบส่งน้ำ. กองฝึก
อบรม
กรมชลประทาน กรุงเทพฯ (90
หน้า)
4.
ประโมทย์ เดชยาภิรมย์. 2538. การทดลองหาผลกระทบต่อการขาดน้ำของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์
สุวรรณ 5. ฝ่ายเกษตรชลประทาน กองจัดสรรน้ำและบำรุงรักษา กรมชลประทาน กรุงเทพฯ
(50
หน้า)
5.
พลโท
พระยาศัลวิธานนิเทศ. 2526. สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม 3 . ไทยวัฒนาพานิชจำกัด
กรุงเทพฯ (306
หน้า)
6.
ศจี เจริญยิ่งและคณะ. 2527. การทดลองเปรียบเทียบผลผลิตที่ลดลงของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สว. 1.
สถานีค้นคว้าวิจัยการใช้น้ำชลประทาน งานเกษตรชลประทาน
กองจัดสรรน้ำและบำรุงรักษา กรม
ชลประทาน กรุงเทพฯ (31
หน้า)
7.
ศจี เจริญยิ่งและคณะ. 2529. การทดลองเปรียบเทียบผลผลิตที่ลดลงของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมื่อขาด
น้ำในช่วงระยะการเจริญเติบโตต่าง ๆ กัน. งานวิจัยการใช้น้ำชลประทานของพืช ฝ่ายเกษตรชล
ประทาน กองจัดสรรน้ำและบำรุงรักษา กรมชลประทาน กรุงเทพฯ (61 หน้า)
8.
ศจี เจริญยิ่งและคณะ. 2537. เอกสารวิชาการเล่ม 1
ข้อมูลการใช้น้ำของพืชต่าง ๆ ในภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ. งานวิจัยการใช้น้ำของพืช
ฝ่ายเกษตรชลประทาน กองจัดสรรน้ำและบำรุงรักษา กรมชล
ประทาน กรุงเทพฯ (39
หน้า)
9.
สุรีย์ สอนสมบูรณ์. 2504. คู่มือการชลประทานสำหรับกสิกร. โรงพิมพ์รับพิมพ์
กรุงเทพฯ (682 หน้า)
10.
สุรีย์ สอนสมบูรณ์. 2519. คู่มือเกษตรชลประทาน. รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์
กรมชลประทาน กรุงเทพฯ
(275 หน้า)
11.
สุรีย์ สอนสมบูรณ์. 2526. เกษตรชลประทานประยุกต์.
รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์ กรมชลประทาน
กรุงเทพฯ (275
หน้า)
12.
สุขุม โชติช่วงมณีรัตน์. 2533. การพิจารณาการปลูกข้าวโพดในระบบการปลูกพืชประเทศไทย. วาร
สารดินและปุ๋ย สมาคมดินและปุ๋ย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ (58 หน้า)
บทความจาก กรมชลประทาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)