วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อนาคต “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ควรขับเคลื่อนไปทางไหน

ไล่เรียงภาพรวมของพืชเศรษฐกิจของไทยไปแล้ว 4 ชนิด วันนี้เราจะมาดูในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ของประเทศ ไปจนถึงภาวะการครองชีพของพี่น้องผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมหลายล้านชีวิต

เริ่มจากในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจว่าปริมาณผลผลิตข้าวโพดมากถึงร้อยละ 90 ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศเป็นหลัก และปัจจุบันก็ยังมีปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี ตามการขยายตัวของการเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภค หรือ จากประมาณ 4.36 ล้านตัน ในปี 2554 เพิ่มเป็น  4.67 ล้านตัน ในปี 2555 และ 4.72 ล้านตัน สำหรับปี 2556         ขณะที่จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ด้านการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พบว่า ไทยมีปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในปี 2554 จำนวน 1.96 แสนตัน (195,552 ตัน) ปี 2555 จำนวน 1.97 แสนตัน (196,861 ตัน) และ ปี 2556 จำนวน  1.82 แสนตัน (182,174 ตัน) คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยปีละประมาณ 739 ล้านบาท และมีตัวเลขการส่งออกในแต่ละปี ดังนี้
ปี 2554 จำนวน 3.19 แสนตัน (318,961 ตัน)
ปี 2555 จำนวน 1.22  แสนตัน (122,355 ตัน) 
และ ปี 2556 จำนวน 5.61 แสนตัน (561,133 ตัน)   

คิดเป็นมูลเฉลี่ยรายได้จากการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ยปีละประมาณ   2,766 ล้านบาท ซึ่งก็ต้องถือเป็นตัวเลขรายได้ที่มากเพียงพอ ทำให้มีการนำข้าวโพดไปรวมไว้ในหมวดพืชเศรษฐกิจ ที่จะต้องมีการกำหนดแผนปฏิรูปและพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน ในเรื่องการสร้างผลประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ขณะเดียวกันจากสถิติในช่วงปี 2554 - 2556 พบว่าไทยมีการเพิ่มเนื้อที่การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ตามแนวโน้มราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีข้อมูลแสดงว่า ช่วง 2-3 ปี มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้นอย่างชัดเจน ในเขตภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง หรือ จากปี 2554 ที่มีจำนวน 7.4ล้านไร่ เพิ่มเป็น 7.53 ล้านไร่ ในปี 2555 และ ปี 2556 ที่ 7.54 ล้านไร่ (7,541,447 ไร่)    จากข้อมูลดิบทั้งหมด เราจะไปดูปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กันต่อ เพราะที่ผ่านมาราคาผลผลิตก็มีภาวะตกต่ำเป็นระยะๆ  เหมือนกับพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ  โดยปัญหาหลักใหญ่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ก็คือในช่วงเดือนสิงหาคม –  ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตออกมาสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมาก  และยังเป็นการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูฝนที่ข้าวโพดมีความชื้นสูง จึงทำให้ราคาข้าวโพดในช่วงดังกล่าวมีแนวโน้มตกต่ำ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด กว่า 4.01 แสนครัวเรือน (401,921 ครัวเรือน) นอกจากนี้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก็ยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้างการผลิต ประกอบด้วย
1.พื้นที่เพาะปลูกมีความเสี่ยงต่อการเสียหายจากภาวะภัยแล้ง เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มากถึงร้อยละ 95 อยู่นอกเขตชลประทาน และอาศัยน้ำฝนในการเพาะปลูกเพียงอย่างเดียว
2.ราคาในแต่ละช่วงฤดูกาลผลิต ซึ่งพบว่าถ้าหากช่วงไหนราคาดี เกษตรกรก็จะเร่งเพาะปลูกและขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคาขาย
3.ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เนื่องจากผลผลิตมากกว่าร้อยละ 97 ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เป็นหลัก ดังนั้น การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของความต้องการ จึงมีผลโดยตรงต่อระดับราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 
4.การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน อาจส่งผลกระทบต่อราคาภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตภายในประเทศออกสู่ตลาดมากในเดือนสิงหาคม จนถึง เดือนธันวาคม
5.การนำเข้าพืชทดแทน เช่น การนำเข้าข้าวสาลีคุณภาพต่ำ ราคาถูกมาใช้ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บางส่วนในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อาจส่งผลต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรจะขายได้ลดลง
มาถึงแนวทางการปฏิรูปและพัฒนาการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในทิศทางที่ ควรจะเป็น ที่ผ่านมาก็มีหลายฝ่ายได้นำเสนอประเด็นความเห็นไว้หลายด้าน ซึ่งมีการรวบรวมเพื่อนำเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. พิจารณาต่อไป  โดยในส่วนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ได้มีการศึกษาสถานการณ์และแนวโน้มการผลิตข้าวโพดกับความมั่นคงด้านอาหาร สัตว์ และมีข้อเสนอต่อแนวทางการปฏิรูปว่า ในส่วนของนโยบายการผลิต ภาครัฐควรผลักดันให้เกิดนโยบายเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหารสัตว์และพืช พลังงานให้เป็นวาระแห่งชาติที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
รวมถึงควรมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการผลิต และการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ชัดเจน โดยการกำหนดปริมาณที่ต้องผลิตภายในประเทศและปริมาณการนำเข้าให้เหมาะสม เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคอย่างเหมาะสม รวมถึงเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หรือ AEC ในอนาคตข้างหน้า นอกจากนี้ภาครัฐยังควรผลักดันการสนับสนุนงานวิจัยทางการเกษตรให้เป็นวาระ แห่งชาติ โดยเฉพาะการพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้มีลักษณะเด่น ทั้งด้านการให้ผลผลิตที่สูงขึ้น และแนวทางการลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมการนำเข้าพันธุกรรม เพื่อการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 
ขณะเดียวกันภาครัฐก็ควรมีนโยบายที่ชัดเจน ในการกำหนดเขตการผลิตที่เหมาะสมในลักษณะโซนนิ่ง โดยเน้นพื้นที่ผลิตหลักในเขตชลประทาน เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้ให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพดี ซึ่งก็รวมถึงแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาและขยายระบบชลประทาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตให้ทุกพื้นที่ ให้ครอบคลุมกว้างขวางยิ่งขึ้น    ตลอดจนการแผนส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หลังการทำนาในฤดูแล้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุของการทำให้เกิดเชื้อเรา หลังการเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูฝน ด้วยการสนับสนุนสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือ ปลอดดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรรายย่อยเพื่อจูงใจในการผลิต ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพส่งเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของประเทศ ได้อย่างเพียงพอ และลดการนำเข้าปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากต่างประเทศ นอกเหนือจากนโยบายการผลิตที่ภาครัฐควรเข้าไปสนับสนุนหรือส่งเสริมแล้วทาง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ยังได้เสนอแนวทางปฏิรูปในส่วนของนโยบายการตลาดอีกด้วย โดยในจุดของการตลาด ก็ประกอบด้วยข้อเสนอให้รัฐบาลกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ สำหรับการสร้างระบบการตลาดการค้าเมล็ดพืช ทั้งตลาดกลาง และ ตลาดล่วงหน้า รวมถึงการส่งเสริมให้มีการผลิตในระบบข้อตกลงล่วงหน้า เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเอเซีย
ขณะเดียวกันภาครัฐยังควรรักษาเสถียรภาพด้านราคาข้าวโพด ผ่านมาตรการส่งออกนำเข้าอย่างเสรีเหมือนในปัจจุบัน และไม่ควรกำหนดนโยบายแทรกแซงราคา เช่น การประกันราคา และการรับจำนำ เนื่องจากเป็นการบิดเบือนกลไกการตลาด ซึ่งทำให้ต้นทุนการซื้อสูงกว่าความเป็นจริง และสุดท้ายก็ส่งผลให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยไม่สามารถแข่งขันกับต่าง ประเทศได้  ขณะที่ตัวเกษตรกรก็ขาดซึ่งการตระหนักถึงการพัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพ   นอกจากนี้ภาครัฐก็ควรผลักดันให้มีการจัดตั้งสมาคมเกษตรกรผู้ผลิตข้าวโพด เลี้ยงสัตว์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองด้านราคาให้กับเกษตรกรรายย่อย และเพื่อเป็นสถาบันที่ทำหน้า ที่ผลักดันแผนพัฒนาการผลิตให้มีคุณภาพ    ขณะที่กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ ก็ต้องร่วมมือกันสร้างเครือข่าย เพื่อให้เกิดกระบวนการแบ่งปันผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย   ทั้งปริมาณความต้องการ คุณภาพ และ ราคาที่เหมาะสม เช่นการที่ผู้ใช้ติดต่อโดยตรงกับผู้ปลูกที่รวมกันเป็นกลุ่มเกษตรกร หรือ ผ่านสหกรณ์การเกษตร 

ข้อมูลจาก Tnews

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น