กระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศ ให้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ภาษี 0% จาก ประเทศอาเซียนปี 2557 แล้ว พร้อมประกาศล่วงหน้า 3 ปีต่อเนื่อง
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้
กระทรวงพาณิชย์
ได้ออกประกาศกระทรวงเรื่องการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์
เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี 2557
มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค. - 31 ธ.ค. 2557 โดยการนำเข้า
สามารถนำเข้าโดยผู้นำเข้าทั่วไปหรือนำเข้าผ่านองค์การคลังสินค้า (อคส.)
ซึ่งสามารถนำเข้าสินค้าได้โดยเสียภาษีในในอัตรา 0%
ทั้งนี้ผู้นำเข้าจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขตามที่ประกาศกำหนด
โดยต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) หนังสือรับรองแสดงว่า
สินค้ามีความปลอดภัยต่อชีวิตหรือสุขภาพมนุษย์ สัตว์ หรือพืช
และต้องนำเข้าทางด่านศุลกากรที่กำหนด และหากนำเข้าโดยผ่านองค์การคลังสินค้า
จะต้องจัดทำแผนการจัดซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิต
การตลาดภาวะราคาและความต้องการใช้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาผลผลิตในประเทศ
อย่างไรก็ตาม
เพื่อให้เกิดความสะดวกในการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศอาเซียน
และเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในการวางแผนการนำเข้าสินค้าได้
ล่วงหน้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกประกาศการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สำหรับปี
2558-2560 โดยเสียภาษีนำเข้าในอัตรา 0%
โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการขอหนังสือรับรองการได้รับสิทธิเหมือนประกาศใน
ปี 2557 ด้วย
ที่มา สำนักข่าว INN
ข้อมูลข้าวโพดในประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557
อนาคต “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ควรขับเคลื่อนไปทางไหน
ไล่เรียงภาพรวมของพืชเศรษฐกิจของไทยไปแล้ว 4 ชนิด
วันนี้เราจะมาดูในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญในภาคอุตสาหกรรมการผลิต
ของประเทศ
ไปจนถึงภาวะการครองชีพของพี่น้องผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมหลายล้านชีวิต
เริ่มจากในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจว่าปริมาณผลผลิตข้าวโพดมากถึงร้อยละ 90 ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศเป็นหลัก และปัจจุบันก็ยังมีปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี ตามการขยายตัวของการเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภค หรือ จากประมาณ 4.36 ล้านตัน ในปี 2554 เพิ่มเป็น 4.67 ล้านตัน ในปี 2555 และ 4.72 ล้านตัน สำหรับปี 2556 ขณะที่จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ด้านการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พบว่า ไทยมีปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในปี 2554 จำนวน 1.96 แสนตัน (195,552 ตัน) ปี 2555 จำนวน 1.97 แสนตัน (196,861 ตัน) และ ปี 2556 จำนวน 1.82 แสนตัน (182,174 ตัน) คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยปีละประมาณ 739 ล้านบาท และมีตัวเลขการส่งออกในแต่ละปี ดังนี้
ปี 2554 จำนวน 3.19 แสนตัน (318,961 ตัน)
ปี 2555 จำนวน 1.22 แสนตัน (122,355 ตัน)
และ ปี 2556 จำนวน 5.61 แสนตัน (561,133 ตัน)
คิดเป็นมูลเฉลี่ยรายได้จากการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ยปีละประมาณ 2,766 ล้านบาท ซึ่งก็ต้องถือเป็นตัวเลขรายได้ที่มากเพียงพอ ทำให้มีการนำข้าวโพดไปรวมไว้ในหมวดพืชเศรษฐกิจ ที่จะต้องมีการกำหนดแผนปฏิรูปและพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน ในเรื่องการสร้างผลประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ขณะเดียวกันจากสถิติในช่วงปี 2554 - 2556 พบว่าไทยมีการเพิ่มเนื้อที่การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ตามแนวโน้มราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีข้อมูลแสดงว่า ช่วง 2-3 ปี มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้นอย่างชัดเจน ในเขตภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง หรือ จากปี 2554 ที่มีจำนวน 7.4ล้านไร่ เพิ่มเป็น 7.53 ล้านไร่ ในปี 2555 และ ปี 2556 ที่ 7.54 ล้านไร่ (7,541,447 ไร่) จากข้อมูลดิบทั้งหมด เราจะไปดูปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กันต่อ เพราะที่ผ่านมาราคาผลผลิตก็มีภาวะตกต่ำเป็นระยะๆ เหมือนกับพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ โดยปัญหาหลักใหญ่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ก็คือในช่วงเดือนสิงหาคม – ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตออกมาสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมาก และยังเป็นการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูฝนที่ข้าวโพดมีความชื้นสูง จึงทำให้ราคาข้าวโพดในช่วงดังกล่าวมีแนวโน้มตกต่ำ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด กว่า 4.01 แสนครัวเรือน (401,921 ครัวเรือน) นอกจากนี้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก็ยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้างการผลิต ประกอบด้วย
1.พื้นที่เพาะปลูกมีความเสี่ยงต่อการเสียหายจากภาวะภัยแล้ง เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มากถึงร้อยละ 95 อยู่นอกเขตชลประทาน และอาศัยน้ำฝนในการเพาะปลูกเพียงอย่างเดียว
2.ราคาในแต่ละช่วงฤดูกาลผลิต ซึ่งพบว่าถ้าหากช่วงไหนราคาดี เกษตรกรก็จะเร่งเพาะปลูกและขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคาขาย
3.ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เนื่องจากผลผลิตมากกว่าร้อยละ 97 ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เป็นหลัก ดังนั้น การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของความต้องการ จึงมีผลโดยตรงต่อระดับราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ
4.การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน อาจส่งผลกระทบต่อราคาภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตภายในประเทศออกสู่ตลาดมากในเดือนสิงหาคม จนถึง เดือนธันวาคม
5.การนำเข้าพืชทดแทน เช่น การนำเข้าข้าวสาลีคุณภาพต่ำ ราคาถูกมาใช้ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บางส่วนในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อาจส่งผลต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรจะขายได้ลดลง
มาถึงแนวทางการปฏิรูปและพัฒนาการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในทิศทางที่ ควรจะเป็น ที่ผ่านมาก็มีหลายฝ่ายได้นำเสนอประเด็นความเห็นไว้หลายด้าน ซึ่งมีการรวบรวมเพื่อนำเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. พิจารณาต่อไป โดยในส่วนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ได้มีการศึกษาสถานการณ์และแนวโน้มการผลิตข้าวโพดกับความมั่นคงด้านอาหาร สัตว์ และมีข้อเสนอต่อแนวทางการปฏิรูปว่า ในส่วนของนโยบายการผลิต ภาครัฐควรผลักดันให้เกิดนโยบายเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหารสัตว์และพืช พลังงานให้เป็นวาระแห่งชาติที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
รวมถึงควรมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการผลิต และการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ชัดเจน โดยการกำหนดปริมาณที่ต้องผลิตภายในประเทศและปริมาณการนำเข้าให้เหมาะสม เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคอย่างเหมาะสม รวมถึงเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หรือ AEC ในอนาคตข้างหน้า นอกจากนี้ภาครัฐยังควรผลักดันการสนับสนุนงานวิจัยทางการเกษตรให้เป็นวาระ แห่งชาติ โดยเฉพาะการพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้มีลักษณะเด่น ทั้งด้านการให้ผลผลิตที่สูงขึ้น และแนวทางการลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมการนำเข้าพันธุกรรม เพื่อการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันภาครัฐก็ควรมีนโยบายที่ชัดเจน ในการกำหนดเขตการผลิตที่เหมาะสมในลักษณะโซนนิ่ง โดยเน้นพื้นที่ผลิตหลักในเขตชลประทาน เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้ให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพดี ซึ่งก็รวมถึงแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาและขยายระบบชลประทาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตให้ทุกพื้นที่ ให้ครอบคลุมกว้างขวางยิ่งขึ้น ตลอดจนการแผนส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หลังการทำนาในฤดูแล้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุของการทำให้เกิดเชื้อเรา หลังการเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูฝน ด้วยการสนับสนุนสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือ ปลอดดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรรายย่อยเพื่อจูงใจในการผลิต ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพส่งเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของประเทศ ได้อย่างเพียงพอ และลดการนำเข้าปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากต่างประเทศ นอกเหนือจากนโยบายการผลิตที่ภาครัฐควรเข้าไปสนับสนุนหรือส่งเสริมแล้วทาง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ยังได้เสนอแนวทางปฏิรูปในส่วนของนโยบายการตลาดอีกด้วย โดยในจุดของการตลาด ก็ประกอบด้วยข้อเสนอให้รัฐบาลกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ สำหรับการสร้างระบบการตลาดการค้าเมล็ดพืช ทั้งตลาดกลาง และ ตลาดล่วงหน้า รวมถึงการส่งเสริมให้มีการผลิตในระบบข้อตกลงล่วงหน้า เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเอเซีย
ขณะเดียวกันภาครัฐยังควรรักษาเสถียรภาพด้านราคาข้าวโพด ผ่านมาตรการส่งออกนำเข้าอย่างเสรีเหมือนในปัจจุบัน และไม่ควรกำหนดนโยบายแทรกแซงราคา เช่น การประกันราคา และการรับจำนำ เนื่องจากเป็นการบิดเบือนกลไกการตลาด ซึ่งทำให้ต้นทุนการซื้อสูงกว่าความเป็นจริง และสุดท้ายก็ส่งผลให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยไม่สามารถแข่งขันกับต่าง ประเทศได้ ขณะที่ตัวเกษตรกรก็ขาดซึ่งการตระหนักถึงการพัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพ นอกจากนี้ภาครัฐก็ควรผลักดันให้มีการจัดตั้งสมาคมเกษตรกรผู้ผลิตข้าวโพด เลี้ยงสัตว์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองด้านราคาให้กับเกษตรกรรายย่อย และเพื่อเป็นสถาบันที่ทำหน้า ที่ผลักดันแผนพัฒนาการผลิตให้มีคุณภาพ ขณะที่กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ ก็ต้องร่วมมือกันสร้างเครือข่าย เพื่อให้เกิดกระบวนการแบ่งปันผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ทั้งปริมาณความต้องการ คุณภาพ และ ราคาที่เหมาะสม เช่นการที่ผู้ใช้ติดต่อโดยตรงกับผู้ปลูกที่รวมกันเป็นกลุ่มเกษตรกร หรือ ผ่านสหกรณ์การเกษตร
ข้อมูลจาก Tnews
เริ่มจากในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจว่าปริมาณผลผลิตข้าวโพดมากถึงร้อยละ 90 ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศเป็นหลัก และปัจจุบันก็ยังมีปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี ตามการขยายตัวของการเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภค หรือ จากประมาณ 4.36 ล้านตัน ในปี 2554 เพิ่มเป็น 4.67 ล้านตัน ในปี 2555 และ 4.72 ล้านตัน สำหรับปี 2556 ขณะที่จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ด้านการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พบว่า ไทยมีปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในปี 2554 จำนวน 1.96 แสนตัน (195,552 ตัน) ปี 2555 จำนวน 1.97 แสนตัน (196,861 ตัน) และ ปี 2556 จำนวน 1.82 แสนตัน (182,174 ตัน) คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยปีละประมาณ 739 ล้านบาท และมีตัวเลขการส่งออกในแต่ละปี ดังนี้
ปี 2554 จำนวน 3.19 แสนตัน (318,961 ตัน)
ปี 2555 จำนวน 1.22 แสนตัน (122,355 ตัน)
และ ปี 2556 จำนวน 5.61 แสนตัน (561,133 ตัน)
คิดเป็นมูลเฉลี่ยรายได้จากการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ยปีละประมาณ 2,766 ล้านบาท ซึ่งก็ต้องถือเป็นตัวเลขรายได้ที่มากเพียงพอ ทำให้มีการนำข้าวโพดไปรวมไว้ในหมวดพืชเศรษฐกิจ ที่จะต้องมีการกำหนดแผนปฏิรูปและพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน ในเรื่องการสร้างผลประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ขณะเดียวกันจากสถิติในช่วงปี 2554 - 2556 พบว่าไทยมีการเพิ่มเนื้อที่การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ตามแนวโน้มราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีข้อมูลแสดงว่า ช่วง 2-3 ปี มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้นอย่างชัดเจน ในเขตภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง หรือ จากปี 2554 ที่มีจำนวน 7.4ล้านไร่ เพิ่มเป็น 7.53 ล้านไร่ ในปี 2555 และ ปี 2556 ที่ 7.54 ล้านไร่ (7,541,447 ไร่) จากข้อมูลดิบทั้งหมด เราจะไปดูปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กันต่อ เพราะที่ผ่านมาราคาผลผลิตก็มีภาวะตกต่ำเป็นระยะๆ เหมือนกับพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ โดยปัญหาหลักใหญ่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ก็คือในช่วงเดือนสิงหาคม – ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตออกมาสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมาก และยังเป็นการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูฝนที่ข้าวโพดมีความชื้นสูง จึงทำให้ราคาข้าวโพดในช่วงดังกล่าวมีแนวโน้มตกต่ำ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด กว่า 4.01 แสนครัวเรือน (401,921 ครัวเรือน) นอกจากนี้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก็ยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้างการผลิต ประกอบด้วย
1.พื้นที่เพาะปลูกมีความเสี่ยงต่อการเสียหายจากภาวะภัยแล้ง เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มากถึงร้อยละ 95 อยู่นอกเขตชลประทาน และอาศัยน้ำฝนในการเพาะปลูกเพียงอย่างเดียว
2.ราคาในแต่ละช่วงฤดูกาลผลิต ซึ่งพบว่าถ้าหากช่วงไหนราคาดี เกษตรกรก็จะเร่งเพาะปลูกและขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านราคาขาย
3.ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เนื่องจากผลผลิตมากกว่าร้อยละ 97 ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เป็นหลัก ดังนั้น การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของความต้องการ จึงมีผลโดยตรงต่อระดับราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ
4.การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน อาจส่งผลกระทบต่อราคาภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตภายในประเทศออกสู่ตลาดมากในเดือนสิงหาคม จนถึง เดือนธันวาคม
5.การนำเข้าพืชทดแทน เช่น การนำเข้าข้าวสาลีคุณภาพต่ำ ราคาถูกมาใช้ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บางส่วนในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อาจส่งผลต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรจะขายได้ลดลง
มาถึงแนวทางการปฏิรูปและพัฒนาการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในทิศทางที่ ควรจะเป็น ที่ผ่านมาก็มีหลายฝ่ายได้นำเสนอประเด็นความเห็นไว้หลายด้าน ซึ่งมีการรวบรวมเพื่อนำเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. พิจารณาต่อไป โดยในส่วนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ได้มีการศึกษาสถานการณ์และแนวโน้มการผลิตข้าวโพดกับความมั่นคงด้านอาหาร สัตว์ และมีข้อเสนอต่อแนวทางการปฏิรูปว่า ในส่วนของนโยบายการผลิต ภาครัฐควรผลักดันให้เกิดนโยบายเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหารสัตว์และพืช พลังงานให้เป็นวาระแห่งชาติที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
รวมถึงควรมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการผลิต และการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ชัดเจน โดยการกำหนดปริมาณที่ต้องผลิตภายในประเทศและปริมาณการนำเข้าให้เหมาะสม เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคอย่างเหมาะสม รวมถึงเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หรือ AEC ในอนาคตข้างหน้า นอกจากนี้ภาครัฐยังควรผลักดันการสนับสนุนงานวิจัยทางการเกษตรให้เป็นวาระ แห่งชาติ โดยเฉพาะการพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้มีลักษณะเด่น ทั้งด้านการให้ผลผลิตที่สูงขึ้น และแนวทางการลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมการนำเข้าพันธุกรรม เพื่อการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันภาครัฐก็ควรมีนโยบายที่ชัดเจน ในการกำหนดเขตการผลิตที่เหมาะสมในลักษณะโซนนิ่ง โดยเน้นพื้นที่ผลิตหลักในเขตชลประทาน เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้ให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพดี ซึ่งก็รวมถึงแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาและขยายระบบชลประทาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตให้ทุกพื้นที่ ให้ครอบคลุมกว้างขวางยิ่งขึ้น ตลอดจนการแผนส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หลังการทำนาในฤดูแล้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุของการทำให้เกิดเชื้อเรา หลังการเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูฝน ด้วยการสนับสนุนสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือ ปลอดดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรรายย่อยเพื่อจูงใจในการผลิต ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพส่งเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของประเทศ ได้อย่างเพียงพอ และลดการนำเข้าปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากต่างประเทศ นอกเหนือจากนโยบายการผลิตที่ภาครัฐควรเข้าไปสนับสนุนหรือส่งเสริมแล้วทาง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ยังได้เสนอแนวทางปฏิรูปในส่วนของนโยบายการตลาดอีกด้วย โดยในจุดของการตลาด ก็ประกอบด้วยข้อเสนอให้รัฐบาลกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ สำหรับการสร้างระบบการตลาดการค้าเมล็ดพืช ทั้งตลาดกลาง และ ตลาดล่วงหน้า รวมถึงการส่งเสริมให้มีการผลิตในระบบข้อตกลงล่วงหน้า เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเอเซีย
ขณะเดียวกันภาครัฐยังควรรักษาเสถียรภาพด้านราคาข้าวโพด ผ่านมาตรการส่งออกนำเข้าอย่างเสรีเหมือนในปัจจุบัน และไม่ควรกำหนดนโยบายแทรกแซงราคา เช่น การประกันราคา และการรับจำนำ เนื่องจากเป็นการบิดเบือนกลไกการตลาด ซึ่งทำให้ต้นทุนการซื้อสูงกว่าความเป็นจริง และสุดท้ายก็ส่งผลให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยไม่สามารถแข่งขันกับต่าง ประเทศได้ ขณะที่ตัวเกษตรกรก็ขาดซึ่งการตระหนักถึงการพัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพ นอกจากนี้ภาครัฐก็ควรผลักดันให้มีการจัดตั้งสมาคมเกษตรกรผู้ผลิตข้าวโพด เลี้ยงสัตว์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองด้านราคาให้กับเกษตรกรรายย่อย และเพื่อเป็นสถาบันที่ทำหน้า ที่ผลักดันแผนพัฒนาการผลิตให้มีคุณภาพ ขณะที่กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ ก็ต้องร่วมมือกันสร้างเครือข่าย เพื่อให้เกิดกระบวนการแบ่งปันผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ทั้งปริมาณความต้องการ คุณภาพ และ ราคาที่เหมาะสม เช่นการที่ผู้ใช้ติดต่อโดยตรงกับผู้ปลูกที่รวมกันเป็นกลุ่มเกษตรกร หรือ ผ่านสหกรณ์การเกษตร
ข้อมูลจาก Tnews
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เริ่มกระจุกตัว
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2557/58 ว่ามีเนื้อที่ปลูก 7.40 ล้านไร่ ผลผลิต 5.01 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 676 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2556/57 เนื่องจากเกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปปลูกพืชที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น มันสำปะหลัง และอ้อยโรงงาน
โดยมีสาเหตุมาจากราคาปรับตัวลดลงมาก จากการลดความต้องการใช้ลงของผู้ประกอบการรายใหญ่รายหนึ่งในภาคอุตสาห กรรมอาหารสัตว์ภายในประเทศ ที่ก่อนหน้านี้เข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ปลูก ทำให้ภาครัฐต้องใช้มาตรการแทรกแซงตลาด เพื่อยกระดับราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบเนื้อที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปริมาณผลผลิต ในช่วง 6 ปี ระหว่างปี 2552/53-2557/58 ที่ผ่านมาพบว่าเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 0.72 และร้อยละ 1.50 ตามลำดับ ซึ่งเป็นไปตามความต้องการใช้ของภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ภายในประเทศ ขณะที่ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 6.84 โดยเฉพาะค่าเช่าที่ดินและค่าดูแลรักษา ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 13.91 และร้อยละ 13.68 ตามลำดับ
ซึ่งความต้องการที่เพิ่มขึ้นเป็นไปตามการขยายตัวของภาคปศุสัตว์ โดยในช่วงปี 2552/53 - 2557/58 ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอัตราเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 3.55 ในขณะที่ผลผลิตเพิ่มขึ้นอัตราเฉลี่ยต่อปี ร้อยละ 1.50 ทั้งนี้ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ปี 2557 คาดว่าจะมีประมาณ 5.00 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 4.72 ล้านตันในปี 2556 ร้อยละ 5.93
สำหรับราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2557/58 ที่ออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 เป็นต้นมานั้น ได้ปรับตัวลดลงจากกิโลกรัมละ 7.54 บาทในเดือนมิถุนายน เหลือกิโลกรัมละ 7.35 บาทในเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ประกอบกับมีฝนตกชุกและต่อเนื่องทำให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เกิดปัญหาด้านคุณภาพ คือมีความชื้นสูง มีโอกาสเกิดอะฟลาทอกซินได้ง่าย ผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ไม่นิยมซื้อเก็บสต๊อกไว้ ทำให้ราคาที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวมากในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม จึงมีราคาอ่อนตัวลงแต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนการผลิตเล็กน้อย
ฉนั้น ทางออกสำหรับเกษตรกรเป็น การเฉพาะหน้าก็คือจะต้องดูแลเรื่องคุณภาพและการใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยว เพราะหากมีความชื้นสูงจะทำให้แตกหักง่ายและโอกาสเกิดอะฟลาทอกซินง่ายยิ่ง ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญของการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คือ ผลผลิตประมาณร้อยละ 85 ของผลผลิตทั้งหมด ออกสู่ตลาดกระจุกตัวในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม และเนื้อที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กว่าร้อยละ 50 ปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสมและพื้นที่เขตป่าไม้ ซึ่งผลผลิตกว่าร้อยละ 90 จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ภายในประเทศ
ข้อมูลจาก นสพ เดลินิวส์
การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ได้ผลตอบแทนสูง
การเลือกพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่เหมาะสม
การเลือกพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาทำการปลูกนั้นถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
เนื่องจากการเลือกพันธุ์นั้นต้องมีความสัมพันธ์กับลักษณะทางกายภาพของพื้นที่
ช่วงเวลา การระบาดของโรคแมลงในพื้นที่เราจะทำการผลิต หากเลือกชนิดของพันธุ์ที่ไม่เหมาะสมแล้วจะส่งผลต่อการผลิตข้าวโพดทั้งกระบวนการ
ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกพันธุ์ข้าวโพด
·
ศักยภาพในการให้ผลผลิต ควรเป็นพันธุ์ที่มีศักยภาพในการให้ผลผลิตสูง
และปรับตัวได้ดีในสภาพแปลงโดยสังเกตจากแปลงสาธิต แปลงทดสอบในแต่ละพื้นที่
·
ความทนทานหรือ ต้านทานโรค ควรเป็นพันธุ์ที่สามารถทนทานหรือต้านทานโรคที่สำคัญในพื่นที่การผลิตได้
·
อายุเก็บเกี่ยว ควรเลือกพันธุ์ที่มีอายุเหมาะสมกับระบบการผลิต
การปลูกพืชหลังเก็บเกี่ยวข้าวโพด หรือ การเก็บเกี่ยวก่อนน้ำท่วม เป็นต้น
การแบ่งชนิดพันธุ์ตามอายุเก็บเกี่ยวได้ดังนี้
อายุสั้น หรือเก็บเกี่ยวเร็ว
อายุประมาณ
100-110 วัน นับตั้งแต่หลังวันปลูก
อายุปานกลาง หรือเก็บเกี่ยวปานกลาง
อายุประมาณ
110-120 วัน นับตั้งแต่หลังวันปลูก
อายุยาว หรือเก็บเกี่ยวช้า
อายุประมาณ
120 วันขึ้นไป นับตั้งแต่หลังวันปลูก
ฤดูปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่เหมาะสม
·
ต้นฤดูฝน ปลูกได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนมิถุนายน
ตามสภาพฝนแต่ละพื้นที่
·
ปลายฤดูฝน ปลูกได้ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม-กลางเดือนสิงหาคม
·
ฤดูแล้ง ปลูกได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม-เดือนกุมภาพันธ์ (พื้นที่ริมแม่น้ำ
พื้นที่นาหลังเก็บเกี่ยวข้าว และพื้นที่ชลประทาน)
การเตรียมดิน สำหรับปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
วัตถุประสงค์ของการเตรียมดิน
เพื่อให้ดินเหมาะสมต่อการงอกของเมล็ดข้าวโพด ช่วยเก็บรักษาความชื้นอยู่เสมอ ช่วยให้ดินมีอากาศถ่ายเทสะดวก
และทำลายวัชพืชให้แห้งตายหรือฝังกลบซากวัชพืชเดิม
การเตรียมดินสำหรับปลูกข้าวโพดเลี้ยงแบ่งออกได้
2 วิธี ดังนี้
1.
การไม่ไถพรวน มักทำในพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง
หรือพื้นที่หลังเก็บเกี่ยวข้าว จะทำโดยการตัด ถาง
เพื่อกำจัดวัชพืชที่อยู่ผิวหน้าดินที่เป็นอุปสรรคในการปลูกและงอกของข้าวโพดออกไป
2.
การไถพรวน ควรไถอย่างน้อย 2 ครั้ง
2.1.
ไถดะ การไถด้วยผาน 3 หรือผาน 7 ควรไถให้ลึกประมาณ 30 ซม.เพราะการไถลึก จะช่วยทำให้ดินเก็บน้ำได้มาก
และกลบฝังเศษวัชพืชได้ลึกไม่เป็นอุปสรรคในการหยอดเมล็ด จากนั้นตากดินไว้ประมาณ
10-15 วัน เพื่อทำลายวัชพืชและศัตรูพืชในดินบางชนิด
2.2.
ไถแปร ควรไถด้วยผาน 7 โดยไถขวางรอยเดิมของไถดะเพื่อย่อยดินก้อนใหญ่ให้แตก
ทำให้ดินร่วนซุย โปร่งมากขึ้นเพิ่มผิวสัมผัสระหว่างดินกับเมล็ด ทำให้เมล็ดพันธุ์ดูดความชื้นได้ดีและงอกได้อย่างสม่ำเสมอ
2.3 ไม่ควรไถดินในขณะที่ความชื้นในดินสูง
เพราะจะทำให้ดินแน่น และเกิดชั้นดินดาน ทำให้การระบายน้ำในดินไม่สะดวก
และดินเป็นก้อนแข็งจะส่งผลต่อการงอกของเมล็ดข้าวโพด
การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทำได้ 2 วิธี ดังนี้
1. ใช้เครื่องปลูก ซึ่งมีหลากหลายแบบในปัจจุบันทั้งแบบ
2,3
และ 4 แถว
ตามความเหมาะสมของพื้นที่จุดสำคัญจะที่การเลือกรูจานหยอดให้เหมาะกับขนาดของเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่
เมล็ดเล็กขนาด 3หุน, ขนาดกลาง 3.5หุน
และขนาดใหญ่ 4 หุน ซึ่งจะระบุไว้ที่ถุง ระยะห่างระหว่างแถว 70 ซม. ระยะระหว่างหลุมประมาณ 18-20 ซม.
โดยปริมาณเมล็ดที่ใช้จะประมาณ 3 - 3.3 กก./ไร่ ขึ้นอยู่กับขนาดของเมล็ด
และ จะมีจำนวนต้นข้าวโพด/ไร่ ประมาณ 11,428-12,698 ต้นต่อไร่ ควรหยอดเมล็ดข้าวโพดให้ลึก 5-7 เซนติเมตร
2. ใช้คนปลูก
ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะทางภาคเหนือ
จะใช้เชือกในการกำหนดระยะให้มีระยะห่างระหว่างร่องประมาณ 70 ซม. ระยะระหว่างหลุมประมาณ
35-40 ซม. แล้วใช้จอบขุดให้ลึก 5-7 เซนติเมตร หยอดเมล็ด 2 เมล็ดต่อหลุม แล้วกลบ
โดยจำนวนเมล็ดที่หยอดในวิธีต่างๆ
จะขึ้นอยู่กับปริมาณต้นที่ต้องการต่อไร่, เปอร์เซนต์ความงอกของเมล็ดพันธุ์ และ
ขึ้นอยู่กับพันธุ์ว่า นั้นทนกับการปลูกถี่ได้ดีเพียงใด สิ่งที่ต้องคำนึงหากต้องการให้การปลูกได้ประสิทธิผลสูงคือการตรวจแปลงก่อนการปลูกว่าแปลงปลูกมีสภาพดีพร้อมปลูกหรือไม่
ทั้งเรื่องความชื้นในดินมีเพียงพอต่อการงอกของเมล็ดหรือไม่
และลักษณะพื้นผิวดินเป็นอุปสรรคในการหยอดหรือไม่
ในส่วนของการเตรียมความพร้อมในเรื่องของเครื่องหยอด ก่อนทำการหยอดจริงจะต้องทำการทดสอบเครื่องโดยการบนลานเพื่อดูการตกของเมล็ด
และการโรยปุ๋ยเป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่ การดำเนินการแก้ไข
หากลงน้อยหรือมากเกินไปให้เปลี่ยนจานที่เหมาะสมกับขนาดเมล็ด ,
หากเมล็ดตกห่างกันมากเกินไปให้ปรับรอบการหมุนจานให้สัมพันธ์กับความเร็วของรถลาก
และการปรับการลงของปุ๋ยให้ดูขนาดของรู กับความเร็วรอบในการหมุนของแกนตักปุ๋ยให้สัมพันธ์กับความเร็วของรถลาก
สิ่งสำคัญที่จะช่วยการปลูกการปลูกประสบผลสำเร็จคือการตรวจแปลงในช่วง 5-10 วันหลังการปลูกเพื่อสุ่มตรวจนับประมาณปริมาณต้นกล้าที่งอกขึ้นมา
ว่ามีประมาณตรงตามที่ต้องการหรือไม่ โดยทั่วไปไม่ควรน้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ทำการสุ่มนับ เมื่อทราบจำนวนต้นก็ใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจ ว่าจะทำการปลูกใหม่ ปลูกซ่อม หรือถอนแยกต้น เพื่อให้ได้ต้นกล้าที่สมบูรณ์
การใส่ปุ๋ย แบ่งได้ 2 ครั้งประมาณและชนิดขึ้นอยู่กับผลการตรวจวิเคราะห์ดินก่อนการปลูก
เพื่อให้มีธาตุอาหารเพียงพอกับการสร้างผลผลิตได้เต็มที่ แต่โดยทั่วไปจะใช้ปุ๋ย
ดังนี้
1.
ปุ๋ยรองพื้น ควรใส่รองก้นหลุม หรือโรยเป็นแถวแล้วกลบพร้อมปลูก ใช้ปุ๋ยสูตร
16-20-0 หรือ 15-15-15 หรือปุ๋ยทั้งสองผสมกัน 1:1ในปริมาณ 35-40
กิโลกรัม/ไร่
2.
ปุ๋ยแต่งหน้า เมื่อข้าวโพดมีอายุ 20-25 วัน
ควรมีการใส่ปุ๋ยอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 ในปริมาณ 35-40 กิโลกรัม/ไร่
ข้อแนะนำ ควรใส่ปุ๋ยพร้อมกับการกำจัดวัชพืชเมื่อข้าวโพดอายุได้
20-35 วัน หรือสูงแค่เข่า โดยใส่แบบโรยข้างแถวให้ห่างจากโคนต้นประมาณ 1 คืบ
แล้วใช้ดินกลบ ในพื้นที่เป็นดินทรายหรือดินเนื้อหยาบ ควรมีการเพิ่มจำนวนครั้งการใส่ปุ๋ย
โดยแบ่งจากเดิม 40
กิโลกรัม 1ครั้ง เป็น 20
กิโลกรัม 2 ครั้ง
เพื่อประสิทธิภาพการใส่ปุ๋ยเนื่องจากในดินกลุ่มดังกล่าวธาตุอาหารจะถูกชะล้างไปได้ง่ายกว่า
อีกประเด็นที่มีความสำคัญคือ ความเป็นกรดด่างของดิน
หากมีค่าต่ำหรือสูงเกินไปจะทำให้ข้าวโพดดูดใช้ธาตุอาหารได้น้อยลง
ระดับความเป็นกรดเป็นด่างที่เหมาะสมของข้าวโพดอยู่ที่ 5.7-6.3 การแก้ไขปรับได้โดยการใช้โดโลไมค์และการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน
การกำจัดวัชพืช
ช่วงวิกฤตที่ข้าวโพดอ่อนแอต่อวัชพืชที่สุดคือระยะ
13-25
วัน หลังงอก ระยะนี้ถ้ามีวัชพืชรบกวนจะทำให้ผลผลิต
ข้าวโพดเสียหายสูงสุด ดังนั้นการปลูกข้าวโพดให้ได้ผลผลิตสูง ดังนั้นจึงต้องให้แปลงปลอดวัชพืช
ตลอดช่วง 1 เดือนแรกตั้งแต่ปลูก การใช้สารเคมีควบคุมวัชพืชชนิดก่อนงอกที่ใช้ทันทีหลังปลูกข้าวโพดหรือพ่นกำจัดวัชพืชหลังข้าวโพดและวัชพืชงอกแล้ว
เป็นวิธีที่สะดวกและประหยัด ควรฉีดพ่นขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่ สารเคมีที่แนะนำมีดังนี้
สารอาทราซีน
ในอัตรา 500 กรัม ผสมน้ำ 60-80
ลิตร พ่นในพื้นที่ 1 ไร่ ในขณะที่ดินมีความชื้นใช้ก่อนข้าวโพดงอก และก่อนหญ้างอกหรือหญ้างอกต้นเล็กไม่เกิน
3 ใบ)
ใช้ควบคุมวัชพืชใบกว้างได้ดีเป็นพิษต่อผักและพืชตระกูลถั่ว
ดังนั้นถ้าจะปลูกถั่วตามหลังข้าวโพด ไม่ควรใช้อาทราซีน
สารอะลาคลอร์ ใช้ฉีดพ่นวัชพืชก่อนข้าวโพดงอก
ใช้อัตรา 500 มิลลิลิตร/ไร่ กำจัดวัชพืชใบแคบได้ดี เป็นพิษต่อข้าวฟ่าง
ดังนั้นถ้าจะปลูกข้าวฟ่างตามหลังข้าวโพด ไม่ควรใช้อะลาคลอร์
หากในพื้นที่ที่วัชพืชใบแคบและใบกว้างรุนแรงควรใช้อาทราซีน
350
กรัม ผสมอะลาคลอร์ 500 มิลลิลิตร ผสมน้ำ 60-80 ลิตร พ่นในพื้นที่ 1 ไร่ ในขณะที่ดินมีความชื้นใช้ก่อนข้าวโพดงอก จะสามารถควบคุมวัชพืชใบกว้างและใบแคบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การกำจัดวัชพืชหลังงอกเพื่อแหล่งอาศัยของศัตรูข้าวโพดและความสะดวกในการเก็บเกี่ยวซึ่งจะฉีดพ่นที่ระยะ
35-45
วันหลังข้าวโพดงอกสารเคมีที่ใช้จะเป็นสารพาราควอต ซึ่งสารเคมีกำจัดวัชพืชชนิดสัมผัสตายจะใช้กำจัดวัชพืชในร่องข้าวโพดอัตราที่ใช้
75-125
มิลลิลิตร ผสมน้ำ 60-80 ลิตร พ่นในพื้นที่ 1 ไร่
ความต้องการน้ำของข้าวโพด
ข้าวโพดมีความต้องการใช้น้ำตลอดฤดูปลูก
ประมาณ 400-600 มิลลิเมตร
1. การใช้น้ำครั้งแรกเมื่อปลูก หลังจากไถพรวนเตรียมแปลงเสร็จ
เพื่อให้ดินมีความชื้นพองอก
2. การให้น้ำในช่วงระยะการเจริญเติบโตของข้าวโพด ควรให้น้ำเพียงพอต้องความต้องการของข้าวโพด
ไม่ควรให้น้ำมากเกินไป เพราะจะทำให้ข้าวโพดเหลืองแคระแกร็น ผลผลิตลด และอาจตายได้ ถ้าให้น้ำมากเกินไปควรรีบระบายน้ำออกจากแปลงทันที
การสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่ควรให้น้ำข้าวโพดโดยการสังเกตอาการขาดน้ำของข้าวโพด
หากสังเกตเห็นข้าวโพดแสดงอาการขาดน้ำในช่วงบ่าย
ให้กลับไปสังเกตในช่วงเช้าหากพบว่าแสดงอาการขาดน้ำจึงควรรีบให้น้ำ
หากไม่แสดงอาการสามารถรอได้อีก 1-2 วัน เมื่อใช้วิธีการดังกล่าวจะสามารถลดรอบการให้น้ำ
2-3 ครั้ง
ข้าวโพด เป็นพืชที่ต้องการน้ำตลอดอายุการเจริญเติบโตแต่ความต้องการน้ำจะสูงสุด ในช่วงออกดอกและช่วงระยะต้นของการสร้างเมล็ด
ถ้าหากขาดน้ำ
·
ในช่วงระยะการเจริญทางลำต้นและใบ ผลผลิตจะลดลง 25%
·
ในช่วงระยะออกดอกตัวผู้-ออกไหม-เริ่มสร้างเมล็ดผลผลิตจะลดลง 50%
·
ในช่วงระยะหลังการสร้างเมล็ดเสร็จ ผลผลิตจะลดลง 21%
การเก็บเกี่ยวข้าวโพด
การเก็บเกี่ยวข้าวโพดให้มีคุณภาพควรเก็บเกี่ยวเมื่อข้าวโพดแก่จัดและเก็บในช่วงที่อากาศแห้ง
การสังเกตุว่าเมื่อใดสามารถเก็บเก็บได้แล้ว
ให้สังเกตุที่การเปลี่ยนสีของเมล็ดจากสีเหลืองเป็นสีส้ม
จากนั้นให้หักฝักดูเนื้อเยื้อระหว่างเมล็ดกับซังว่าเปลี่ยนสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำหรือไม่
หากเปลี่ยนสีเป็นสีดำก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ แต่การเก็บเกี่ยวในช่วงดังกล่าวความชื้นในเมล็ดยังสูงอยู่จะควรทำการลดความชื้นก่อนการเก็บรักษา
วิธีการเก็บเกี่ยว
1. เก็บเกี่ยวโดยใช้แรงงานคน
1.1 การเก็บแบบปอกเปลือก
1.2
เก็บเกี่ยวโดยหักข้าวโพดทั้งเปลือก
ภายหลังจากการเก็บเกี่ยวเกษตรกรจะนำฝักข้าวโพดจากข้อ1.1 และข้อ1.2ได้มากระเทาะก่อนนำเมล็ดส่งขายตามลานรับซื้อต่าง
ในบางพื้นที่จะนำฝักที่เก็บเกี่ยวแบบปอกเปลือกไปส่งขายตามรับซื้อด้วยเช่นกัน
ในเขตพื้นที่ภาคเหนือจะนิยมเก็บเกี่ยวในแบบที่1.2 ทั้งในกลุ่มที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วสีกระเทาะ
และกลุ่มที่เก็บเข้ายุ้งฉาง รอราคา
2. เก็บเกี่ยวโดยใช้เครื่องมือ
การเก็บเกี่ยวโดยใช้เครื่องเกี่ยวนวดข้าวโพด ( corn combine
harvester)
เครื่องชนิดนี้จะปลิดฝักข้าวโพดจากต้นแล้วสีออกเป็นเมล็ด
การใช้เครื่องเก็บเกี่ยวมีข้อดีในกรณีขาดแคลนแรงงาน ทำให้ค่าจ้างเก็บเกี่ยวสูง สามารถเก็บเกี่ยวได้อย่างรวดเร็ว
แต่มีข้อเสียตรงที่ต้องเก็บเกี่ยวในพื้นที่ราบและสม่ำเสมอ ต้นข้าวโพดหักล้มน้อย ยังมีอัตราการสูญเสียเนื่องจากฝักเก็บเกี่ยวไม่หมด และมีการแตกหักของฝักและเมล็ด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)