โดย พีรเดช ทองอำไพ
ปีนี้อากาศผิดเพี้ยนไปจากปี
ก่อน ๆ หลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่ฝนตกน้อยมาก
จนกระทั่งเกิดภาวะแล้งเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
และดูท่าทางว่าอากาศอาจจะหนาวนานกว่าปีก่อน ๆ
และยังคาดเดาไม่ได้ว่าพอถึงหน้าร้อน อากาศจะร้อนกว่าปกติอีกหรือเปล่า
การทำเกษตรจำเป็นต้องพึ่งพาน้ำเป็นหลัก ดังนั้น
ถ้าน้ำน้อยอย่างนี้คงส่งผลกระทบไปยังเรื่องต่าง ๆ
อีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลผลิตพืชที่จะน้อยลงไป
และกระทบไปถึงอาหารสัตว์ที่น่าจะมีไม่เพียงพอ และราคาต้นทุนสูงขึ้น
และก็แน่นอนว่าต้องส่งผลกระเทือนมาถึงผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปกติการทำนาในหน้าฝนก็เป็นไปอย่างปกติ และในหลาย ๆ
พื้นที่ซึ่งอยู่ในเขตชลประทานก็มีการทำนาปรังตามมาในหน้าแล้ง
แต่ว่าปีนี้เห็นได้ชัดว่าถ้าทำนาปรังอย่างที่เคยทำกันมา
ก็ต้องเจอปัญหาขาดน้ำอย่างแน่นอนและทางกระทรวงเกษตรฯ
ก็ได้ประกาศเตือนแล้วว่าไม่ให้ทำนาปรังในปีนี้
เพราะว่าเห็นอยู่แล้วว่าเสียหายแน่นอน
แต่คำถามก็คือถ้าไม่ให้ทำนาปรังแล้วจะให้ทำอะไร
มีงานวิจัยของคุณสมชาย ปานประดับ ซึ่งเป็นนักวิชาการเกษตรอยู่ที่สถานีทดลองพืชไร่พิษณุโลก ได้ศึกษาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับการปลูกข้าวโพดหลังนา เพื่อทดแทนการทำนาปรังในฤดูแล้งในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งผลงานชิ้นนี้น่าจะเป็นคำตอบและทางเลือกให้แก่เกษตรกรทั้งหลายได้ใช้ ประโยชน์กัน เหตุที่เลือกข้าวโพดก็เพราะว่าการปลูกข้าวโพดนั้นใช้น้ำน้อยกว่าการทำนามาก แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วไปในอดีตคือผลผลิตมักจะต่ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสูง ก็เลยไม่มีแรงจูงใจให้ปลูกกัน แต่ว่านักวิจัยกลุ่มนี้พยายามแก้ปัญหาดังกล่าว ตั้งแต่เรื่องของพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม และเทคโนโลยีการปลูกรวมไปถึงการจัดการดินและปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพ
เริ่มกันตั้งแต่พันธุ์ ซึ่งพบว่าข้าวโพดพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ที่ใช้กันอยู่ ทั่วไป ถึงแม้ว่าพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวเหล่านี้จะมีราคาสูงกว่าเมล็ดพันธุ์ทั่วไป แต่การที่ผลผลิตเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 3 ก็น่าจะคุ้มค่า การปลูกก็จะเริ่มหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวไปแล้วและดินยังมีความชื้นหลงเหลือ อยู่ โดยทั่วไปจะใช้เครื่องปลูกชนิดสองแถวติดท้ายรถไถเดินตามขนาดเล็กในขณะที่ดิน มีความชื้นพอเหมาะสำหรับการงอกของเมล็ดข้าวโพด การปลูกข้าวโพดหลังนานี้จะให้น้ำเพียง 2-3 ครั้งตลอดฤดูปลูกเท่านั้น ดังนั้นจึงใช้น้ำน้อยกว่าข้าวนาปรังมาก เพียงแต่มีข้อระวังคืออย่าให้ขาดน้ำในช่วงออกดอกและสร้างเมล็ดเท่านั้นเป็น พอ
เรื่องการใส่ปุ๋ยและระยะปลูกก็ได้มีการศึกษาไว้เหมือนกันว่าเนื่องจากการ ปลูกข้าวโพดหลังนาในหน้าแล้ง ซึ่งมีการใช้น้ำน้อย ผลผลิตมักจะต่ำกว่าการปลูกในที่ที่มีน้ำมาก ดังนั้น ถ้าเพิ่มจำนวนต้นต่อไร่ ซึ่งก็คือการลดระยะปลูกให้แคบลง ก็จะทำให้จำนวนต้นต่อไร่เพิ่มมากขึ้นและผลผลิตต่อไร่ก็เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งนักวิจัยแนะนำว่าใช้ระยะระหว่างแถว 70 ซม. และระหว่างหลุม 20 ซม. น่าจะเหมาะสม ส่วนปุ๋ยที่ใช้คงต้องดูความอุดมสมบูรณ์ของดินเดิม แต่โดยทั่วไป ข้าวโพดต้องการไนโตรเจนค่อนข้างมาก และผลผลิตที่ได้มักจะขึ้นอยู่กับปริมาณไนโตรเจนที่ใส่ให้อย่างเหมาะสม ซึ่งเรื่องการใส่ปุ๋ยข้าวโพดนี้คงต้องใช้เครื่องมือที่มีอยู่ตอนนี้คือชุด ตรวจสอบ NPK ในดิน เพื่อวิเคราะห์ก่อนว่าในดินมีธาตุอาหารเดิมอยู่มากน้อยแค่ไหนแล้วควรใส่ปุ๋ย อะไรจึงจะทำให้ได้ผลผลิตสูงที่สุดและต้นทุนต่ำสุด
ความรู้เรื่องการปลูกข้าวโพดหลังนาตอนนี้มีค่อนข้างพอเพียงจนถึงขั้นถ่ายทอด ในวงกว้างได้แล้ว เพียงแต่ว่าในระดับนโยบายจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด เพราะการที่จะบอกให้ชาวนาเลิกปลูกข้าวนาปรังเพราะเหตุว่าน้ำในเขื่อนมีน้อย โดยไม่บอกทางเลือกอื่นให้ก็คงจะไม่เหมาะสมนัก การที่นักวิจัยกลุ่มนี้ได้ศึกษาพืชทดแทนข้าวนาปรังมาได้มากขนาดนี้แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็น่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไปครับ
มีงานวิจัยของคุณสมชาย ปานประดับ ซึ่งเป็นนักวิชาการเกษตรอยู่ที่สถานีทดลองพืชไร่พิษณุโลก ได้ศึกษาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับการปลูกข้าวโพดหลังนา เพื่อทดแทนการทำนาปรังในฤดูแล้งในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งผลงานชิ้นนี้น่าจะเป็นคำตอบและทางเลือกให้แก่เกษตรกรทั้งหลายได้ใช้ ประโยชน์กัน เหตุที่เลือกข้าวโพดก็เพราะว่าการปลูกข้าวโพดนั้นใช้น้ำน้อยกว่าการทำนามาก แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วไปในอดีตคือผลผลิตมักจะต่ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสูง ก็เลยไม่มีแรงจูงใจให้ปลูกกัน แต่ว่านักวิจัยกลุ่มนี้พยายามแก้ปัญหาดังกล่าว ตั้งแต่เรื่องของพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม และเทคโนโลยีการปลูกรวมไปถึงการจัดการดินและปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพ
เริ่มกันตั้งแต่พันธุ์ ซึ่งพบว่าข้าวโพดพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ที่ใช้กันอยู่ ทั่วไป ถึงแม้ว่าพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวเหล่านี้จะมีราคาสูงกว่าเมล็ดพันธุ์ทั่วไป แต่การที่ผลผลิตเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 3 ก็น่าจะคุ้มค่า การปลูกก็จะเริ่มหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวไปแล้วและดินยังมีความชื้นหลงเหลือ อยู่ โดยทั่วไปจะใช้เครื่องปลูกชนิดสองแถวติดท้ายรถไถเดินตามขนาดเล็กในขณะที่ดิน มีความชื้นพอเหมาะสำหรับการงอกของเมล็ดข้าวโพด การปลูกข้าวโพดหลังนานี้จะให้น้ำเพียง 2-3 ครั้งตลอดฤดูปลูกเท่านั้น ดังนั้นจึงใช้น้ำน้อยกว่าข้าวนาปรังมาก เพียงแต่มีข้อระวังคืออย่าให้ขาดน้ำในช่วงออกดอกและสร้างเมล็ดเท่านั้นเป็น พอ
เรื่องการใส่ปุ๋ยและระยะปลูกก็ได้มีการศึกษาไว้เหมือนกันว่าเนื่องจากการ ปลูกข้าวโพดหลังนาในหน้าแล้ง ซึ่งมีการใช้น้ำน้อย ผลผลิตมักจะต่ำกว่าการปลูกในที่ที่มีน้ำมาก ดังนั้น ถ้าเพิ่มจำนวนต้นต่อไร่ ซึ่งก็คือการลดระยะปลูกให้แคบลง ก็จะทำให้จำนวนต้นต่อไร่เพิ่มมากขึ้นและผลผลิตต่อไร่ก็เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งนักวิจัยแนะนำว่าใช้ระยะระหว่างแถว 70 ซม. และระหว่างหลุม 20 ซม. น่าจะเหมาะสม ส่วนปุ๋ยที่ใช้คงต้องดูความอุดมสมบูรณ์ของดินเดิม แต่โดยทั่วไป ข้าวโพดต้องการไนโตรเจนค่อนข้างมาก และผลผลิตที่ได้มักจะขึ้นอยู่กับปริมาณไนโตรเจนที่ใส่ให้อย่างเหมาะสม ซึ่งเรื่องการใส่ปุ๋ยข้าวโพดนี้คงต้องใช้เครื่องมือที่มีอยู่ตอนนี้คือชุด ตรวจสอบ NPK ในดิน เพื่อวิเคราะห์ก่อนว่าในดินมีธาตุอาหารเดิมอยู่มากน้อยแค่ไหนแล้วควรใส่ปุ๋ย อะไรจึงจะทำให้ได้ผลผลิตสูงที่สุดและต้นทุนต่ำสุด
ความรู้เรื่องการปลูกข้าวโพดหลังนาตอนนี้มีค่อนข้างพอเพียงจนถึงขั้นถ่ายทอด ในวงกว้างได้แล้ว เพียงแต่ว่าในระดับนโยบายจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด เพราะการที่จะบอกให้ชาวนาเลิกปลูกข้าวนาปรังเพราะเหตุว่าน้ำในเขื่อนมีน้อย โดยไม่บอกทางเลือกอื่นให้ก็คงจะไม่เหมาะสมนัก การที่นักวิจัยกลุ่มนี้ได้ศึกษาพืชทดแทนข้าวนาปรังมาได้มากขนาดนี้แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็น่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไปครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น